Custom Search By Google

Search By Google

๒๕๕๑/๑๐/๒๑

คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู

คริสเตียนกับการรับใช้พระเยซู
วัน พุธ 08 ต.ค. 08@ 17:47:37 ICT
หัวข้อ: สรุปคำเทศนาประจำอาทิตย์


ดร.ทะนุ วงค์ธนานุกุล

วัน อาทิตย์ ที่ 21 กันยายน 2008


พระธรรม กจ. 16-20

พระธรรมตอนนี้เป็นภาพการรับใช้ของ อจ.เปาโล ท่านได้เลือกสิลาสเป็นเพื่อนผู้รับใช้ไปกับท่าน ท่านเดินทางไปหลายที่หลายแห่งเพื่อประกาศและรับใช้พระเจ้า ที่เมืองโครินธ์ ที่ซึ่งเรียกคริสตียนว่า “พวกคว่ำโลก” แรก ๆ คนที่นี่ไม่ยอมฟังจน อจ.เปาโลบอกว่าจะสะบัดผงคลีทิ้ง คือจะไม่รับผิดชอบเมืองนี้และขอพระเจ้าลงโทษคนที่นี่ แต่ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ได้ละทิ้งคริสตจักรโครินธ์ แต่ได้ใช้เวลาในการประกาศพร้อมทั้งได้เชิญผู้ปกครองมาอธิษฐานเผื่อและให้คำกำชับ


กิจการ 18:5-11 มีคำจำกัดความคำว่า “การรับใช้พระเยซู” คือ การใช้ชีวิต ประจำวันเพื่อถวายเกียรติพระเยซู โดยสำแดงถึงชีวิต ฤทธิ์เดช และประสิทธิภาพที่มีในเรารับใช้พระเยซู แม้ว่าเราจะไม่มีตำแหน่งอะไรในคริสตจักร แต่ถ้าเรามีชีวิตประจำวันเพื่อถวายเกียรติพระเยซูนั่นหมายถึงเรากำลังรับใช้พระเจ้า

ชีวิตประจำวันในการรับใช้พระเยซูคือ ชีวิตที่สำแดงถึงชีวิตของพระเยซู ฤทธิ์เดชและประสิทธิภาพของพระเยซูที่มีอยู่ในเรา นั่นคือชีวิตที่รับใช้พระเยซู การรับใช้พระเยซูเป็นงานที่มีเกียรติ ขอให้เรามีชีวิตที่เห็นความสำคัญในการรับใช้และนั้นเป็น น้ำพระทัยของพระเยซูต่อเรา

การับใช้พระเยซูเป็นการสำแดงอยู่ด้วยของพระองค์ การสถิตอยู่ด้วยของพระเยซูทำให้เราเอาชนะตัวเองได้ พระเยซูจะครอบครองชีวิตของเรา “ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว” ถ้าเราให้พระเยซูสถิตในชีวิต เราจะสามารถเอาชนะ



ความอ่อนแอของเนื้อหนังได้ พระเยซูที่สถิตในเราจะเอาชนะความกลัว และฤทธิ์เดชแห่งพระโลหิตของพระองค์เอาชนะความบาปในตัวของเราได้ พระเจ้าจะใช้คนที่จะถ่อมใจและคนที่ต้องการให้พระเจ้าช่วย เมื่อพระเจ้าสถิตกับเรา เราจะเอาชนะความท้อแท้ใจและการเปรียบเทียบได้ เพราะสายตาของเราจะไม่มองที่มนุษย์ แต่จะมองที่พระเจ้า

อจ. เปาโลไปตามที่ต่าง ๆ และประกาศพระนามของพระเจ้าพระผู้ช่วยและนำการปลดปล่อยมาสู่ทุกคน อจ.เปาโลไม่ได้ประกาศชื่อของท่านแต่ประกาศพระนามของเยซูคริสต์ ในปัจจุบันมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเกิดขึ้นมากมาย ในการรับใช้ พระเยซูเราจะต้องสำแดงตัวว่าเราเป็นพวกของพระเยซู

ใน กจ. 17:5-6 เมื่อคริสเตียนเป็น “พวกคว่ำโลก” และประกาศว่าพระเยซูเป็นผู้สร้างโลก และเป็นพระเจ้าที่แท้จริง พระองค์จะประทานฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจให้กับเรา การรับใช้พระเยซูเป็นการสำแดงถึงความรักพระเยซูคริสต์อย่างสุดหัวใจผ่านการนมัสการพระเจ้า เมื่อ อจ.เปาโล อยู่ในคุกท่านสำแดงความรักพระเยซูสุดหัวใจ สิ่งที่เกิดขึ้นคือประตูคุกเปิดออก และมีคนที่เห็นเหตุการณ์นั้นมาเชื่อพระเยซู ในชีวิตของเราอาจจะมีปัญหาต่าง ๆ กักขังเรา ให้เราร้องเรียกพระนามพระเยซูและสำแดงความรักพระองค์สุดหัวใจ พระองค์จะนำเราออกมาจากการกักขังนั้น

เรามีชีวิตเหลืออีกไม่นานในโลกนี้ ขอใช้เวลานี้ในการตัดสินใจในการรับใช้พระเจ้า อะไรเป็นตัวขัดขวางเราในการรับใช้พระเจ้า ขอให้เราใช้ชีวิตของเราในการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

\

บทความนี้มาจาก คริสตจักรพระสัญญา จ.สมุทรปราการ
www.prasanya.org

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
www.prasanya.org/modules.php?name=News&file=article&sid=173

๒๕๕๑/๐๙/๒๓

ความสัมพันธ์กับพระเจ้า

อ.แมรี่ 11/11/2007
สรุปคำเทศนา อาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2007
ความสัมพันธ์กับพระเจ้า
เทศนาโดย อ.แมรี่

--------------------------------------------------------------------------------

คำนำ แผนการณ์ของพระเจ้านั้น ยิ่งใหญ่กว่าที่เราจินตนาการได้ ถ้าเราไม่เห็นแผนการณ์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา เราจะรู้สึกเบื่อ เจ็บปวด ความสัมพันธ์ตกต่ำ

เอเฟซัส 1.17 -18 คำอธิษฐานของอาจารย์เปาโลที่ต่อผู้เชื่อเพื่อให้เขามีความลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ ความเข้าใจ เป็นส่วนตัวระหว่างเขากับพระเจ้า ซึ่งเป็นความห่วงใจของ อ.เปาโล มิใช่คริสเตียนที่เมืองเอเฟซัสเท่านั้น แต่สำหรับเราปัจจุบันนี้ด้วย ที่ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าเป็นส่วนตัวด้วยเช่นกัน ดังนั้นอ.เปาโลจึงอธิษฐานด้วยใจห่วงใยดังต่อไปนี้

1. ขอให้มีสติปัญญาและการประจักษ์แจ้ง-เพื่อจะรู้ว่าสิ่งไหนผิดถูก เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง
2. ให้มีความรู้ถึงพระเจ้า-โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอพระเจ้าสำแดงพระองค์เองให้กับเรา
3. ขอให้ตาใจสว่างขึ้น-เพื่อจะเห็นทุกสิ่งในชีวิตของเรา และจะรู้ว่า พระเจ้ากำลังทำอะไร

เอเฟซัส 3.7-8 พระเจ้าประทานฤทธิ์เดช และทรงเลือกแต่งตั้งเราทั้งหลายไว้
เราถูกเรียกในความรักของพระเจ้า แต่มนุษย์พลาดเพราะเรื่องความสัมพันธ์ที่เราละเลยกับพระเจ้า
ให้เรารักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าจำเป็นที่เราต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์นำเสมอ

ตัวอย่างชีวิตของยาโคบ
พระเจ้ามีแผนการที่ดีต่อยาโคบ ยาโคบเป็นคน โกหก ขโมย เห็นแก่ตัว หลอกลวง (มีชีวิตที่เหมือนกับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า) ทำความวุ่นวายต่อครอบครัว และต้องหนีไปอยู่ลุง ก็มีปัญหามากมาย ชีวิตที่ยาโคบหว่านอย่างไร ก็ต้องรับผลอย่างนั้น เช่นเดียวกันพระเจ้าจะนำและอวยพรชีวิตของยาโคบหรือชีวิตของเราจนกว่าความสัมพันธ์ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง และมีความถ่อมใจ ปั้นปลายชีวิตของยาโคบเมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าทรงได้รับการอวยพระพรตลอดถึงลูกหลาน

เชื่อฟังพระเจ้า

http://www.romyenchurch.org/sermon/06-08-2006.doc

วันที่เทศนา 06 สิงหาคม 2006

หัวข้อเทศนา เส้นทางสู่การถวายพระเกียรติ - ดำเนินชีวิตเชื่อฟังพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ ลูกา 5:1-11

“เมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้วจึงตรัสแก่ซีโมนว่า จงถอยออกไปที่ลึกหย่อนอวนจับปลา

ซีโมนทูลถามว่าพระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนตามพระดำรัสของพระองค์ เมื่อเขาหย่อนลงแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขากำลังปริ” (ลูกา 5:4-6)

“And when he had ceased speaking, he said to Simon, "Put out into the deep and let down your nets for a catch." And Simon answered, "Master, we toiled all night and took nothing! But at your word I will let down the nets." And when they had done this, they enclosed a great shoal of fish; and as their nets were breaking,” (Luke 5:4-6)

การให้เกียรติสามารถทำได้หลายรูปแบบ แต่การให้เกียรติที่มีคุณค่าสูงส่งแก่ผู้ที่เราให้ความเคารพนับถือคือ “การเชื่อฟัง” เราเชื่อฟังพ่อ-แม่ ครู อาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีอำนาจระดับต่างๆ แต่การเชื่อฟังระดับสูงสุดที่มอบให้แก่พระเจ้าย่อมแตกต่างจากบุคคลที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะการเชื่อฟังพระเจ้าตั้งอยู่บนฐานของความจงรักภักดี เป็นการยอมจำนน ยอมหมด ยอมอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง บริสุทธิ์ สมบูรณ์ และทรงไว้ซึ่งอำนาจเหนือทุกสิ่ง เหนือความเป็นและความตาย ชีวิตมีกำเนิดจากพระองค์ พระองค์เป็นผู้กำหนดคุณค่าและแนวทางแห่งชีวิต เราอาจให้การเชื่อฟังมนุษย์ด้วยความศรัทธา แต่เราเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความภักดีและศรัทธารวมกัน คริสเตียนมีโอกาสพลาดได้เพราะความอ่อนแอและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่จะต้องไม่ใช่จากความจงใจที่จะไม่เชื่อฟัง ความจงใจที่จะขัดขืน คัดค้าน ดันทุรังถือเป็นกบฏจะต้องมีโทษร้ายแรง

ในพระธรรม ธรรมบัญญัติ บทที่ 28 และ 29 พูดถึง ผลดีของการเชื่อฟัง ธรรมบัญญัติ 28:1-14 และผลสนองของการไม่เชื่อฟัง ธรรมบัญญัติ 28:15-68 คริสเตียนควรอ่านประจำเพื่อเพิ่มสติจาก พระธรรมลูกา 5:1-11 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่บอกถึงลักษณะของการเชื่อฟังและผลดีที่เกิดจากการเชื่อฟัง


I. ทัศนคติต่อพระคำของพระเจ้า 1 ซามูเอล 15:1-23

“และซามูเอลกล่าวว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิดที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชาและซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ เพราะการกบฎก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์” (1 ซามูเอล 15:22-23)

“And Samuel said, "Has the LORD as great delight in burnt offerings and sacrifices, as in obeying the voice of the LORD? Behold, to obey is better than sacrifice, and to hearken than the fat of rams. For rebellion is as the sin of divination, and stubbornness is as iniquity and idolatry. Because you have rejected the word of the LORD, he has also rejected you from being king."(1 Samuel 15:22-23)


ชีวิตของพระเยซูคริสต์ในโลกทั้งคำสอนและการกระทำ พระองค์พยายามให้สาวกของพระองค์เข้าใจ หัวใจของการเป็นสาวก คือ การเชื่อฟังพระเจ้า ข้อพิสูจน์ความเป็นสาวกแท้คือ ทัศนคติของผู้นั้นที่มีต่อพระคำของพระเจ้าอย่างไร พระเยซูทดสอบสาวกของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องการเชื่อฟัง ในพระธรรม ลูกา 5:1-11 ก็เป็นการทดสอบทัศนคติของเปโตรว่าเขาจะมีทัศนคติต่อพระคำของพระองค์อย่างไร ท่าทีของเราต่อพระคำของพระเจ้าคือรากฐานสำคัญที่จะนำผลดีหรือผลร้ายมาสู่ชีวิต เราจะปฏิบัติต่อพระคำ เหมือนกับ คำของมนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์อาจพูดพล่อยๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ แต่พระคำของพระเจ้าไม่ได้ว่าจะเป็นพระสัญญา พระบัญชา หรือพระบัญญัติ เป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องเคารพและปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไข ฉะนั้นเมื่อใดที่อ่านพระคำ ฟังพระคำ ศึกษาพระคำ อย่าทำให้ใจแข็งกระด้าง ดื้อดึง แต่ต้องมีใจนอบน้อมพร้อมปฏิบัติ สำหรับพระเจ้า ใจเชื่อฟัง สำคัญกว่าศาสนพิธี และศาสนกิจ และรวมทั้งเครื่องถวายทั้งหลาย ไม่มีอะไรสามารถทดแทนการเชื่อฟัง





II. เรียนจากพระเยซูคริสต์ มัทธิว 11:28, ฟีลิปปี 2:4-8, ฮีบรู 5:8

“จงเอาแอกของเราแบกไว้แล้วเรียนจากเรา” (มัทธิว 11:29)

“Take my yoke upon you, and learn from me;” (Matthew 11:29)

“ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟีลิปปี 2:5-8)

“Have this mind among yourselves, which is yours in Christ Jesus, who, though he was in the form of God, did not count equality with God a thing to be grasped, but emptied himself, taking the form of a servant, being born in the likeness of men. And being found in human form he humbled himself and became obedient unto death, even death on a cross” (Philippians 2:5-8)

“ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อยู่นั้น พระองค์ได้ทรงร้องอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยน้ำพระเนตรไหลต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับฟังเนื่องด้วยความยำเกรงของพระเยซู ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมยอมเชื่อฟังด้วยความทุกข์ลำบากที่พระองค์ได้ทรงทน” ( ฮีบรู 5:7-8)

“In the days of his flesh, Jesus offered up prayers and supplications, with loud cries and tears, to him who was able to save him from death, and he was heard for his godly fear. Although he was a Son, he learned obedience through what he suffered” (Hebrews 5: 7-8)

พันธกิจสำคัญของพระเยซูคริสต์ในโลกสรุปแล้วมี 3 ประการ ด้วยกันคือ

สำแดงมนุษย์ตามแบบพระฉายของพระเจ้า
สำแดงพระเจ้าหรือเป็นพระฉายของพระเจ้าที่ไม่ประจักษ์แก่ตา
ถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปมนุษย์


พระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตในความเชื่อฟัง ทำตามพระดำริ สละผลประโยชน์แห่งตน แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าในสวรรค์สำเร็จในแผ่นดินโลกนี่คือแบบ อย่างที่สมบูรณ์ที่เราจะยึดถือ เชื่อฟังพระองค์อยู่เหนือเรื่องส่วนตัว

III. ผลแห่งการเชื่อฟัง ฟีลิปปี 2:9, เฉลยธรรมบัญญัติ 30:8,20

“เหตุฉะนั้น (เหตุแห่งการเชื่อฟัง) พระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูงและได้ประทานพระนามเหนือนามอื่นทั้งปวงให้แก่พระองค์” ( ฟีลิปปี 2:9)

“Therefore God has highly exalted him and bestowed on him the name which is above every name” (Philippians 2:9)

“และท่านทั้งหลายจะฟังเสียงของพระเจ้าอีก และรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งหลายในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะกระทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอย่างยิ่ง ในกิจการที่มือของท่านกระทำ ในพงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง และในผลแห่งฝูงสัตว์ของท่าน และในผลแห่งพื้นดินของท่าน เพราะพระเจ้าจะทรงพอพระทัยที่จะให้ท่านจำเริญมั่งคั่ง ดังที่พระองค์ทรงปลื้มปิติในบรรพบุรุษของท่าน” ( เฉลยธรรมบัญญัติ 30:8-9)

“And you shall again obey the voice of the LORD, and keep all his commandments which I command you this day. The LORD your God will make you abundantly prosperous in all the work of your hand, in the fruit of your body, and in the fruit of your cattle, and in the fruit of your ground; for the LORD will again take delight in prospering you, as he took delight in your fathers” (Deuteronomy 30:8-9)

“ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์และติดพันอยู่กับพระองค์กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนานเพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งประเจ้าทรงปฏิญาณ” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:20)

“loving the LORD your God, obeying his voice, and cleaving to him; for that means life to you and length of days, that you may dwell in the land which the LORD swore to your fathers, to Abraham, to Isaac, and to Jacob, to give them” (Deuteronomy 30:20)

“พระองค์ตรัสว่า ถ้าเจ้าทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าของเจ้า และกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์ เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการ แล้วโรคต่างๆ ซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่ชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่เจ้าเลยเพราะเราคือ พระเจ้า แพทย์ของเจ้า” (อพยพ 15:26)

“saying, "If you will diligently hearken to the voice of the LORD your God, and do that which is right in his eyes, and give heed to his commandments and keep all his statutes, I will put none of the diseases upon you which I put upon the Egyptians; for I am the LORD, your healer.”(Exodus 15:26)
“.......แต่ข้าพเจ้าจะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์ และเมื่อเขาหย่อนอวนแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนเขากำลังปริ” ( ลูกา 5:5-6)

“……..But at your word I will let down the nets." And when they had done this, they enclosed a great shoal of fish; and as their nets were breaking,” (Luke 5:5-6)

จากข้อพระธรรมที่ได้อ้างแล้วจะพบผลดีของการเชื่อฟังอย่างมากมาย ถึงแม้ว่าเราอาจไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ แต่ถ้าท่าทีของเราถูกต้องต่อพระเจ้าและพระคำของพระองค์ พระองค์จะช่วยเสริมกำลัง และอวยพรเราเพราะเราพึ่งในพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ในสายตาพระเจ้า เราสมบูรณ์แล้วในพระคริสต์ คงสมบูรณ์ในภาคปฏิบัติจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีใจ เชื่อฟังพระองค์


ในวันนี้ให้เราร่วมกันถวายเกียรติแก่พระเจ้าด้วย

ท่าทีหรือทัศนคติที่ถูกต่อพระคำ อย่ามีใจดื้อแข็งกระด้าง แต่อ่อนน้อมพร้อมนำไปปฏิบัติ
ให้ชีวิตแห่งการเชื่อฟังของพระเยซู ขณะอยู่ในโลกเป็นแรงบันดาลใจและน้อมนำมาเป็นแม่แบบในชีวิต
ผู้ที่ถวายเกียรติพระองค์ด้วยการเชื่อฟัง จะรับพระพรทั้งในชีวิตส่วนตัว ครอบครัว หน้าที่การงาน และส่งผลไปยังลูกหลานต่อๆ ไป

เชื่อฟังพระเจ้า

http://www.romyenchurch.org/sermon/06-08-2006.doc

วันที่เทศนา 06 สิงหาคม 2006

หัวข้อเทศนา เส้นทางสู่การถวายพระเกียรติ - ดำเนินชีวิตเชื่อฟังพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ ลูกา 5:1-11

“เมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้วจึงตรัสแก่ซีโมนว่า จงถอยออกไปที่ลึกหย่อนอวนจับปลา

ซีโมนทูลถามว่าพระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ทั้งหลายทอดอวนคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพระองค์จะหย่อนอวนตามพระดำรัสของพระองค์ เมื่อเขาหย่อนลงแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขากำลังปริ” (ลูกา 5:4-6)

“And when he had ceased speaking, he said to Simon, "Put out into the deep and let down your nets for a catch." And Simon answered, "Master, we toiled all night and took nothing! But at your word I will let down the nets." And when they had done this, they enclosed a great shoal of fish; and as their nets were breaking,” (Luke 5:4-6)

การให้เกียรติสามารถทำได้หลายรูปแบบ แต่การให้เกียรติที่มีคุณค่าสูงส่งแก่ผู้ที่เราให้ความเคารพนับถือคือ “การเชื่อฟัง” เราเชื่อฟังพ่อ-แม่ ครู อาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีอำนาจระดับต่างๆ แต่การเชื่อฟังระดับสูงสุดที่มอบให้แก่พระเจ้าย่อมแตกต่างจากบุคคลที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะการเชื่อฟังพระเจ้าตั้งอยู่บนฐานของความจงรักภักดี เป็นการยอมจำนน ยอมหมด ยอมอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง บริสุทธิ์ สมบูรณ์ และทรงไว้ซึ่งอำนาจเหนือทุกสิ่ง เหนือความเป็นและความตาย ชีวิตมีกำเนิดจากพระองค์ พระองค์เป็นผู้กำหนดคุณค่าและแนวทางแห่งชีวิต เราอาจให้การเชื่อฟังมนุษย์ด้วยความศรัทธา แต่เราเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความภักดีและศรัทธารวมกัน คริสเตียนมีโอกาสพลาดได้เพราะความอ่อนแอและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่จะต้องไม่ใช่จากความจงใจที่จะไม่เชื่อฟัง ความจงใจที่จะขัดขืน คัดค้าน ดันทุรังถือเป็นกบฏจะต้องมีโทษร้ายแรง

ในพระธรรม ธรรมบัญญัติ บทที่ 28 และ 29 พูดถึง ผลดีของการเชื่อฟัง ธรรมบัญญัติ 28:1-14 และผลสนองของการไม่เชื่อฟัง ธรรมบัญญัติ 28:15-68 คริสเตียนควรอ่านประจำเพื่อเพิ่มสติจาก พระธรรมลูกา 5:1-11 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่บอกถึงลักษณะของการเชื่อฟังและผลดีที่เกิดจากการเชื่อฟัง


I. ทัศนคติต่อพระคำของพระเจ้า 1 ซามูเอล 15:1-23

“และซามูเอลกล่าวว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิดที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชาและซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ เพราะการกบฎก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์” (1 ซามูเอล 15:22-23)

“And Samuel said, "Has the LORD as great delight in burnt offerings and sacrifices, as in obeying the voice of the LORD? Behold, to obey is better than sacrifice, and to hearken than the fat of rams. For rebellion is as the sin of divination, and stubbornness is as iniquity and idolatry. Because you have rejected the word of the LORD, he has also rejected you from being king."(1 Samuel 15:22-23)


ชีวิตของพระเยซูคริสต์ในโลกทั้งคำสอนและการกระทำ พระองค์พยายามให้สาวกของพระองค์เข้าใจ หัวใจของการเป็นสาวก คือ การเชื่อฟังพระเจ้า ข้อพิสูจน์ความเป็นสาวกแท้คือ ทัศนคติของผู้นั้นที่มีต่อพระคำของพระเจ้าอย่างไร พระเยซูทดสอบสาวกของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่องการเชื่อฟัง ในพระธรรม ลูกา 5:1-11 ก็เป็นการทดสอบทัศนคติของเปโตรว่าเขาจะมีทัศนคติต่อพระคำของพระองค์อย่างไร ท่าทีของเราต่อพระคำของพระเจ้าคือรากฐานสำคัญที่จะนำผลดีหรือผลร้ายมาสู่ชีวิต เราจะปฏิบัติต่อพระคำ เหมือนกับ คำของมนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์อาจพูดพล่อยๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ แต่พระคำของพระเจ้าไม่ได้ว่าจะเป็นพระสัญญา พระบัญชา หรือพระบัญญัติ เป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องเคารพและปฏิบัติตามโดยปราศจากเงื่อนไข ฉะนั้นเมื่อใดที่อ่านพระคำ ฟังพระคำ ศึกษาพระคำ อย่าทำให้ใจแข็งกระด้าง ดื้อดึง แต่ต้องมีใจนอบน้อมพร้อมปฏิบัติ สำหรับพระเจ้า ใจเชื่อฟัง สำคัญกว่าศาสนพิธี และศาสนกิจ และรวมทั้งเครื่องถวายทั้งหลาย ไม่มีอะไรสามารถทดแทนการเชื่อฟัง





II. เรียนจากพระเยซูคริสต์ มัทธิว 11:28, ฟีลิปปี 2:4-8, ฮีบรู 5:8

“จงเอาแอกของเราแบกไว้แล้วเรียนจากเรา” (มัทธิว 11:29)

“Take my yoke upon you, and learn from me;” (Matthew 11:29)

“ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” (ฟีลิปปี 2:5-8)

“Have this mind among yourselves, which is yours in Christ Jesus, who, though he was in the form of God, did not count equality with God a thing to be grasped, but emptied himself, taking the form of a servant, being born in the likeness of men. And being found in human form he humbled himself and became obedient unto death, even death on a cross” (Philippians 2:5-8)

“ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อยู่นั้น พระองค์ได้ทรงร้องอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยน้ำพระเนตรไหลต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับฟังเนื่องด้วยความยำเกรงของพระเยซู ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมยอมเชื่อฟังด้วยความทุกข์ลำบากที่พระองค์ได้ทรงทน” ( ฮีบรู 5:7-8)

“In the days of his flesh, Jesus offered up prayers and supplications, with loud cries and tears, to him who was able to save him from death, and he was heard for his godly fear. Although he was a Son, he learned obedience through what he suffered” (Hebrews 5: 7-8)

พันธกิจสำคัญของพระเยซูคริสต์ในโลกสรุปแล้วมี 3 ประการ ด้วยกันคือ

สำแดงมนุษย์ตามแบบพระฉายของพระเจ้า
สำแดงพระเจ้าหรือเป็นพระฉายของพระเจ้าที่ไม่ประจักษ์แก่ตา
ถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปมนุษย์


พระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตในความเชื่อฟัง ทำตามพระดำริ สละผลประโยชน์แห่งตน แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าในสวรรค์สำเร็จในแผ่นดินโลกนี่คือแบบ อย่างที่สมบูรณ์ที่เราจะยึดถือ เชื่อฟังพระองค์อยู่เหนือเรื่องส่วนตัว

III. ผลแห่งการเชื่อฟัง ฟีลิปปี 2:9, เฉลยธรรมบัญญัติ 30:8,20

“เหตุฉะนั้น (เหตุแห่งการเชื่อฟัง) พระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูงและได้ประทานพระนามเหนือนามอื่นทั้งปวงให้แก่พระองค์” ( ฟีลิปปี 2:9)

“Therefore God has highly exalted him and bestowed on him the name which is above every name” (Philippians 2:9)

“และท่านทั้งหลายจะฟังเสียงของพระเจ้าอีก และรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านทั้งหลายในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะกระทำให้ท่านจำเริญมั่งคั่งอย่างยิ่ง ในกิจการที่มือของท่านกระทำ ในพงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง และในผลแห่งฝูงสัตว์ของท่าน และในผลแห่งพื้นดินของท่าน เพราะพระเจ้าจะทรงพอพระทัยที่จะให้ท่านจำเริญมั่งคั่ง ดังที่พระองค์ทรงปลื้มปิติในบรรพบุรุษของท่าน” ( เฉลยธรรมบัญญัติ 30:8-9)

“And you shall again obey the voice of the LORD, and keep all his commandments which I command you this day. The LORD your God will make you abundantly prosperous in all the work of your hand, in the fruit of your body, and in the fruit of your cattle, and in the fruit of your ground; for the LORD will again take delight in prospering you, as he took delight in your fathers” (Deuteronomy 30:8-9)

“ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์และติดพันอยู่กับพระองค์กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนานเพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งประเจ้าทรงปฏิญาณ” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:20)

“loving the LORD your God, obeying his voice, and cleaving to him; for that means life to you and length of days, that you may dwell in the land which the LORD swore to your fathers, to Abraham, to Isaac, and to Jacob, to give them” (Deuteronomy 30:20)

“พระองค์ตรัสว่า ถ้าเจ้าทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าของเจ้า และกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์ เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการ แล้วโรคต่างๆ ซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่ชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่เจ้าเลยเพราะเราคือ พระเจ้า แพทย์ของเจ้า” (อพยพ 15:26)

“saying, "If you will diligently hearken to the voice of the LORD your God, and do that which is right in his eyes, and give heed to his commandments and keep all his statutes, I will put none of the diseases upon you which I put upon the Egyptians; for I am the LORD, your healer.”(Exodus 15:26)
“.......แต่ข้าพเจ้าจะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระองค์ และเมื่อเขาหย่อนอวนแล้วก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนเขากำลังปริ” ( ลูกา 5:5-6)

“……..But at your word I will let down the nets." And when they had done this, they enclosed a great shoal of fish; and as their nets were breaking,” (Luke 5:5-6)

จากข้อพระธรรมที่ได้อ้างแล้วจะพบผลดีของการเชื่อฟังอย่างมากมาย ถึงแม้ว่าเราอาจไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ แต่ถ้าท่าทีของเราถูกต้องต่อพระเจ้าและพระคำของพระองค์ พระองค์จะช่วยเสริมกำลัง และอวยพรเราเพราะเราพึ่งในพระคุณของพระเยซูคริสต์เจ้า ในสายตาพระเจ้า เราสมบูรณ์แล้วในพระคริสต์ คงสมบูรณ์ในภาคปฏิบัติจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีใจ เชื่อฟังพระองค์


ในวันนี้ให้เราร่วมกันถวายเกียรติแก่พระเจ้าด้วย

ท่าทีหรือทัศนคติที่ถูกต่อพระคำ อย่ามีใจดื้อแข็งกระด้าง แต่อ่อนน้อมพร้อมนำไปปฏิบัติ
ให้ชีวิตแห่งการเชื่อฟังของพระเยซู ขณะอยู่ในโลกเป็นแรงบันดาลใจและน้อมนำมาเป็นแม่แบบในชีวิต
ผู้ที่ถวายเกียรติพระองค์ด้วยการเชื่อฟัง จะรับพระพรทั้งในชีวิตส่วนตัว ครอบครัว หน้าที่การงาน และส่งผลไปยังลูกหลานต่อๆ ไป

๒๕๕๑/๐๙/๐๗

พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

http://www.holyofholies.net/

วันนี้ เราก็จะมาเรียนถ้อยคำของพระเจ้าด้วยกัน

ให้พี่น้องเปิดไปที่พระธรรมโรม 5:1-11

“เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่า เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ และความหวังใจ มิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า”


ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่า “เหตุฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า” เราจึงมีสันติสุข เขาอธิบายว่าให้เรามีสันติสุขในพระเจ้า ความชอบธรรมที่เราได้รับ ไม่ได้เกิดจากความดีงามของเรา แต่เกิดจากพระคุณพระเจ้า เกิดจากที่พระเยซูคริสต์ได้มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นความชอบธรรมที่ไม่มีใครสามารถทำได้ แต่พระเจ้าทำเพื่อเรา เมื่อเราได้รับความชอบธรรม ถูกประทับตราจากพระเจ้าว่า “นายคนนี้ ก. ข. ค. ง. เป็นผู้ชอบธรรมของเรา ทูตสวรรค์จำไว้นะ หน้านี้ ตายเมื่อไหร่ ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เอารูปมาเทียบ ใช่คนนี้จริงๆ ก็เปิดประตูสวรรค์รับเข้าไปได้เลย” นึกภาพออกไหมคะ แต่ถ้าไม่ได้รับการประทับตรา เราขึ้นสวรรค์ ทูตสวรรค์มองแล้ว คนนี้หน้าไม่คุ้นเคย ก็จะถูกเชิญไปอยู่ที่อื่น ที่อื่นก็คือในนรกนิรันดร์กาล ฉะนั้น เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ ที่พระเจ้าประทานความชอบธรรม ให้กับพวกเราทั้งหลาย จึงทำให้พวกเรามีสันติสุขในพระเจ้า ในขณะที่เราอยู่ในโลกใบนี้



ในข้อที่ 2 บอกว่า “โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ”

“และเราชื่นชมยินดีในความวางใจ” หมายถึงให้เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่เราไว้วางใจ เราไว้วางใจอะไร ก็วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำเพื่อเรา ทำให้เราได้มีโอกาส เข้าไปอยู่ใต้ร่มพระคุณของพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่ใครอยู่ดีๆ นาย ก. นาย ข. สามารถที่จะไปอ้างสิทธิ์ในการเป็นลูกของพระเจ้าได้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่า เราไม่ได้เลือกพระเจ้า แต่พระเจ้าเป็นผู้เลือกเรา ถ้าถามว่า “ทำไม” ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า “ทำไมพระเจ้าเลือกคนนี้ ไม่เลือกคนนั้น” “ทำไมพระเจ้าเลือกอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนนิสัยแย่มาก ส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งนิสัยดีมาก พระองค์ควรจะเลือกมากว่า” แต่พระเจ้าบอกว่า “ฉันไม่เอา” นึกออกไหมคะ

ดังนั้นความรอดซึ่งเราได้รับเป็นพระคุณ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้ปกครองพิชัยบอกว่า เราจะรู้คุณค่าของความรอด ต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว หรือเหมือนเรามีสัญชาติไทย แล้วเราไม่ได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยินดี ตราบเท่าที่วันหนึ่งเราไม่มีสัญชาติไทย แล้วเราอยากได้ เราจะรู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากที่สุด ดังนั้นขอพระคุณพระเจ้าเมตตา ช่วยเหลือพวกเราทุกๆ คน ซึ่งเป็นคริสเตียน ซึ่งได้รับความรอดผ่านทางพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์แล้ว ให้เราเห็นคุณค่าของความรอด ถ้าเราเห็นคุณค่ามากเท่าไหร่ ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงได้มากเท่านั้น ถ้าเราเห็นคุณค่าของความรัก ที่พระเจ้าให้กับเรามากเท่าไหร่ จะทำให้เรายอมจำนนกับพระเจ้ามากเท่านั้น เต็มอกเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์ เต็มอกเต็มใจที่จะทำตาม ที่พระเจ้าสั่งได้มากเท่านั้น



ในข้อที่ 3 บอกว่า “ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน”
คำว่า “เราชื่นชมยินดี” หมายถึง “ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก” การที่เราสามารถชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อความทุกข์ผ่านเข้ามา ไม่มีใครสามารถที่จะยิ้มได้ หัวเราะได้ จริงไหมคะ ถ้าโดยตัวเราเอง คนอื่นต้องนึกว่า “คนนี้บ้าแน่ๆ เลย อยู่ดีๆ พอเกิดปัญหาขึ้นมา หัวเราะเลย” ไม่มีใครสามารถทำได้ แต่โดยพระคุณพระเจ้า เรารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา แล้วเรารู้แล้วว่า พระเจ้าองค์นี้ เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นพระเจ้าผู้ทรงสามารถ พาเราผ่านพ้นจากความทุกข์ยากอันนี้ได้ เราจึงเกิดความชื่นชมยินดีข้างใน เขาเรียกว่าสันติสุข เพราะว่าเมื่อผ่านความทุกข์ยากตรงนี้ไปได้แล้ว แปลว่าพระเจ้าพิสูจน์แล้วว่าเราสอบผ่านไปหนึ่งขั้นตอน แต่ไม่ได้แปลว่าจบตรงนั้น ก็จะมีการทดสอบเข้ามาอีก ในชีวิตของเราไปเรื่อยๆ จนกว่าพระองค์เห็นว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แปลว่าอายุขัยในโลกนี้จบแล้ว พระเจ้าบอกว่าผ่านฉลุยเลย ประทับตราลงไป จบ ไปอยู่กับพระองค์ได้เลย ไม่ต้องมาผ่านข้อทดสอบอีกต่อไป แล้วเราเชื่อว่าคริสเตียนทุกคนก็คงรอวันนั้นอยู่ วันที่พระเจ้าบอกว่าสอบผ่าน จบกระบวนการในชีวิตของเรา


ในข้อที่ 4 บอกว่า “และความอดทนทำให้เห็น ว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้น ทำให้เกิดมีความหวังใจ”
ผ่านการทดสอบ ผ่านความอดทนตรงนี้ แล้วพระเจ้าบอกว่า “โอเค คนนี้ใช้ได้” พระเจ้าก็จะหยิบจับเรามาใช้สอยงานอะไรก็ไม่รู้ แล้วแต่พระองค์ เมื่อเราได้รับการพิสูจน์จากพระเจ้าแล้ว พระเจ้าพยักหน้า “โอเค ใช้ได้ ผ่าน” ทำให้เรามีความหวังใจขึ้นมา แล้วความหวังใจตรงนี้ในข้อที่ 5 บอกว่า “ไม่ทำให้เราเกิดความเสียใจ เพราะผิดหวัง” ความหวังใจตรงนี้ไม่ได้หวังใจว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ผ่านข้อทดสอบแล้ว พระเจ้าจะให้เรามีเงินเยอะ หรืออวยพรเราให้เรามีสุขภาพแข็งแรง หรืออวยพรให้ต่อแต่นี้ไป เราไม่ต้องเจอความทุกข์อีกเลย ไม่ใช่ ถ้าเรามีความหวังใจแบบนี้ปุ๊บ ผิดหวังแน่นอน แต่ความหวังใจในพระเจ้าคือ ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พระเจ้าจะพาเราผ่าน และอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะพาเราผ่านวิกฤตกว่านี้อีก แต่เรายังมีความหวังใจว่า พระเจ้าเรายิ่งใหญ่สูงสุด เพียงพอที่จะพาเราผ่านไปอีกขั้นตอนหนึ่ง พอเป็นอย่างนี้ก็จะไม่ทำให้เราเสียใจ เพราะผิดหวัง


พอเรามีท่าทีแบบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็ไม่ให้ เพราะพระเจ้ารักเรา

พี่น้องเคยเห็นคนคาดหวังอะไรเยอะๆ แล้วมันไม่ได้อย่างที่เราหวัง เราก็คอตกเลย เสียใจ เหมือนเราคาดหวังว่า “ถ้าเราทำอย่างนี้ๆ นะ พอผ่านปุ๊บ พระเจ้าต้องอวยพร หรือต้องตอบคำอธิษฐานของเรา อย่างที่เราทูลขอ 1, 2, 3, 4, 5 แน่นอนเลย ชัวร์มาก” เรามั่นใจในตัวเอง มากกว่ามั่นใจในพระเจ้า พอเรามีท่าทีแบบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็ไม่ให้ เพราะพระเจ้ารักเรา ถ้าพระเจ้าให้เราปุ๊บ เราก็ได้ใจ คิดว่า “คราวหน้า ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาฉันต้องทำอย่างนี้ 1, 2, 3 ปุ๊บ ฉันจะได้อย่างนี้” ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราคาดหวังผิด เราก็ผิดหวัง พอคาดหวังไม่ผิด ไม่ว่าจะมีสถานการณ์อะไร พระเจ้าพาเราผ่านแน่นอน ถึงแม้ว่าคำตอบนั้นจะไม่ค่อยถูกใจเราเท่าไหร่ แต่เรารู้ว่าต่อให้ไม่ถูกใจ แต่ให้ถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า เราเอเมนเลย ยอมจำนนต่อพระเจ้า เราก็จะไม่เสียใจ ไม่เศร้า ไม่ตีโพยตีพาย โวยวายพระเจ้า “ทำไมพระเจ้าไม่ทำอย่างนี้ ไหนพระสัญญาบอกอย่างนี้” ดูจากบรรพบุรุษของเรา อับราฮัม พระเจ้าสัญญาว่า จะให้มีบุตรตอนที่อายุของเขา 75 แต่ให้จริงๆ ตอนอายุ 100 เรายังไม่คอยนานถึงขนาดนั้น 25 ปี พวกเรายังเชื่อไม่ถึง ฉะนั้นคอยเถิด พระเจ้าสัญญา พระเจ้าทำแน่นอน


ชีวิตของบางคนอาจจะไม่ได้สมหวัง ในด้านของวัตถุสิ่งของเลย แต่อย่าเสียใจ เพราะพระเจ้าเห็นว่า “อย่างนี้ดีแล้ว ถ้าให้ได้พบความสำเร็จในเรื่องวัตถุสิ่งของปุ๊บ นายคนนี้ นางคนนี้ นางสาวคนนี้จะต้องทิ้งฉันแน่ๆ เลย” เป็นอย่างนั้นปุ๊บ พระเจ้าก็จะหยุดไว้ ให้แค่นี้พอ เลี้ยงดูเราดุจเลี้ยงแกะ เราจะไม่ขัดสน ทุกวัน ถ้าขาดอะไรพระเจ้าก็เติมให้ จำเป็นอะไร พระเจ้าก็ให้มา

นี่คือการเลี้ยงดูของพระเจ้า แต่บางคนพระเจ้าเห็นว่าคนนี้ ถ้าอวยพรเขาแล้ว เขาสามารถที่จะใช้พระพรให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะอวยพรอย่างไร คนนี้ก็ไม่ทิ้งพระเจ้าแน่นอน พระเจ้าก็จะอวยพร แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน หรือความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พี่น้องไปสังเกตดู ถ้าเราเป็นของพระเจ้าจริงๆ พอเกิดความทุกข์ ทำให้เรารักพระเจ้ามากขึ้น เกิดความทุกข์ ทำให้เราเข้ามาแสวงหาพระเจ้ามากขึ้น ทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น แล้วพอพระเจ้าพาเราผ่านความทุกข์ตรงนั้น เรารู้ว่าพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระเจ้าของเราทรงพระชนม์อยู่จริงๆ พระเจ้าสามารถช่วยเราจริงๆ นั่นคือเหตุผล ที่ทำไมพระเจ้าต้องพาเราผ่านสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด


ในข้อที่ 6 บอกว่า

“ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาป ในเวลาที่เหมาะสม”


ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อเรา

เราทุกคนเป็นคนบาป ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าใครจะรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนดีมากเลย ฉันทำดีเลิศตลอดเวลา” ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี เพราะว่าเรามีเชื้อบาปอยู่ บรรพบุรุษของเราได้ทำบาป เชื้อมันเหมือนสายเลือด ส่งต่อมาในด้านเนื้อหนัง ถึงแม้เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับความรอดฝ่ายจิตวิญญาณแล้วก็ตาม จิตวิญญาณเราสะอาด แต่เนื้อหนังเรายังอยู่ในความบาปอยู่ หลายครั้งเราคิดชั่ว หลายครั้งเราทำชั่ว หลายครั้งเราดื้อต่อพระเจ้า กบฎต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าบอกว่าขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อเรา ถ้าเราเป็นคนดี พระเจ้ามาตายเพื่อเรา เราก็รู้สึกว่าสมควร “พระเยซูสมควรมาตายเพื่อฉัน เพราะฉันเป็นคนดี” เรารู้สึกเย่อหยิ่ง เราเป็นคนดีมาก ถ้าพระเจ้าไม่มาตายแทนเรา พระเจ้าผิดนะ ซึ่งมันไม่ใช่ เราเป็นคนบาป พระเจ้าเมตตาเรามากๆ ในขณะที่ชีวิตเราไม่ได้เรื่องเลย แต่พระเจ้ามาตายแทนเราบนไม้กางเขน



และในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกว่าไม่ค่อยมีใครตายเพราะคนตรง “คนตรง” คนจะไม่ค่อยชอบ หลายครั้งผู้รับใช้เทศนา อาจจะมีคำพูดที่ไม่ค่อยถูกหูพวกเรา แต่เชื่อมั่นว่าเป็นพระคุณของพระเจ้า คำพูดที่บาดหูพี่น้องจะเป็นยาที่ดีของพระเจ้า ที่จะเยียวยาพวกเรา ทำให้พวกเราเข้มแข็งขึ้น ดังนั้นคนตรง คนจะไม่ค่อยชอบเท่าไร อาจจะไม่ถูกใจ แต่บางคนจะตายเพื่อคนดี คนดีก็มีคนอยากตายแทน แต่จะมีกี่คนที่จะตายแทนคนอื่นได้ ต่อให้ดีแค่ไหนก็ใจมนุษย์ “คนนี้ดี ฉันยอมตายแทนเขาเลย” แต่พอถึงเวลาจะต้องเลือก ระหว่างเขาตายหรือเราตาย เราอาจจะบอกว่า “พระเจ้าให้เขาตายดีกว่า” นี่มนุษย์เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาบอกว่าคนนี้ทำไมถึงกลับกลอก มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เนื้อหนังแบบคนบาป เราย่อมที่จะรักชีวิตของเรามากกว่าชีวิตของคนอื่น แม้แต่ลูกที่เราบอกว่า “ลูกคนนี้รักมากเลย ถ้าเกิดเขาเป็นอะไร พระเจ้าเอาชีวิตเราไปดีกว่า” แต่พอถึงวาระจริงๆ เราอาจจะบอกพระเจ้าว่า “พระเจ้าเปลี่ยนใจแล้ว เอาเขาไปก็แล้วกัน” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าแต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงตายแทนคนบาป ทรงสำแดงความรักถึงที่สุดของที่สุด เพื่อเรา


มีนักเทศน์หลายคนเล่าให้ฟังว่ามีคนมาถามว่า “พระเจ้า พระเยซูคริสต์รักเราแค่ไหน” เราเคยถามพระเจ้าไหมว่าพระเจ้ารักเราแค่ไหน เมื่อเราเจอปัญหา เราเคยสงสัยความรักของพระเจ้าไหมว่า พระเยซูคริสต์ยังคงรักเราอยู่หรือเปล่า ถ้าพระเยซูให้คำตอบกับเราในวันนี้ ที่หูเนื้อหนังของเราสามารถได้ยิน พระองค์ก็คงจะกางมือออก แล้วบอกว่าพระองค์รักเราได้แค่นี้ ก็คือรักขนาดที่พระองค์ยอมถูกตรึงที่ไม้กางเขนเพื่อเรา ความรักแค่นี้เพียงพอไหม สำหรับชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะทุกข์ยากแค่ไหน ทุกครั้งที่เราเจอความทุกข์ยาก ให้เรานึกภาพนี้ไว้ ภาพที่พระเยซูคริสต์เอามือกางออก แล้วนึกถึงภาพตะปู ที่ตอกลงไปที่พระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสองข้าง และที่เท้าของพระองค์ แล้วพระเยซูบอกว่ารักได้แค่นี้ รักมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แค่ชีวิตให้กับเรา ตรงนี้แหละคือพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับพวกเรา



ข้อที่ 9

“เพราะเหตุนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์”



พ้นโทษ พ้นการพิพากษาของพระเจ้า พระบิดา โดยผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่ทรงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขน และได้รับเอาความผิดความบาปของพวกเราทุกๆ คนไว้ที่พระองค์เอง
ในพระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตของพระองค์ทุกหยดที่หลั่งออกมาได้ชำระล้างความผิดของเราเรียบร้อยไปแล้ว โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ได้ทำให้พวกเราหายดี คือวิญญาณจิตของเราได้รับการรักษาให้หายดี และกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ไม่มีใครสามารถทำให้มนุษย์คืนดีกับพระเจ้าได้ นอกจากพระเยซูคริสต์เท่านั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าบอกว่าเราจะต้องตาย จำได้ไหมคะ ที่พระเจ้าบอกกับอาดัม-เอวาว่า “อย่าไปกินผลไม้ต้นนี้นะ ถ้าไปกินเมื่อไหร่ เจ้าจะตาย” ทันทีที่มนุษย์ไม่เชื่อพระเจ้า วิญญาณจิตของมนุษย์ได้ตายจากพระเจ้าไป ไม่ได้หมายความว่าร่างกายเราตายเฉยๆ แต่วิญญาณเราไม่สามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้ เราเดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้ามาตลอดเวลา และเราพยายามแสวงหาพระเจ้าทุกทาง แต่เราหาไม่เจอ เราไม่สามารถ ด้วยกำลังของเราเอง นั่นแหละคือเหตุผล ที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อให้เราได้คืนดีกับพระเจ้าพระบิดา


แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมพระเจ้าทรงเลือกบางคน ไม่เลือกบางคน อันนั้นไม่ต้องไปถกกัน ไม่ต้องไปรู้สึกว่าเราดีกว่าคนอื่น พระเจ้าจึงเลือกเรา ไม่ใช่ เราอาจจะแย่กว่าคนอื่นตั้งเยอะแยะ แต่พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าได้เลือกเราตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลกใบนี้ พระเจ้าได้หมายตาพวกเราไว้แล้ว ต่อให้เราไปในวิถีทางใดก็ตาม ถึงเวลากำหนดพระเจ้าก็ทรงเปิดตาใจเรา ให้เรามารู้จักกับพระนามของพระองค์ โดยที่บางคนตอนนี้ถ้าถามว่า “มาเชื่อพระเจ้าเพราะอะไร” ตอบไม่ถูก ถ้าถามดิฉัน ดิฉันก็ตอบไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็เปิดตาใจให้มาเชื่อพระองค์

ในข้อที่ 11 บอกว่า “มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า” มีความชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ

ในข้อที่ 12 บอกเราถึงต้นตอของความบาปว่ามาจากที่ใด และต้นตอของความรอดมาจากที่ใด

โรม 5:12-15

“เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป ความจริงบาปได้มีอยู่ในโลกแล้วก่อนมีธรรมบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่ถือว่ามีบาป อย่างไรก็ตาม ความตายก็ได้ครอบงำตลอดมา ตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม ผู้ซึ่งเป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง แต่ของประทานแห่งพระคุณนั้นหาเป็นเช่นความละเมิดนั้นไม่ เพราะว่าถ้าคนเป็นอันมากต้องตายเพราะการละเมิดของคนๆเดียว มากยิ่งกว่านั้น พระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณของพระองค์ผู้เดียวนั้น คือพระเยซูคริสต์ ก็มีบริบูรณ์แก่คนเป็นอันมาก”


ในพระคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกกับพวกเราว่า ถ้าคนๆ หนึ่งที่ทำบาปบนโลกใบนี้ คือบรรพบุรุษของเราที่ชื่ออาดัม เป็นต้นเหตุและต้นตอ ที่ทำให้ความบาปไหลมาจนถึงมนุษย์ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้า ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทำให้เราเห็นว่า ต้นตอที่สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากความบาปได้ ก็คือตามกฎที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ ถ้าใครทำบาป ผู้นั้นต้องตาย ความบาปต้องชดใช้ด้วยความตายเท่านั้น เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระเมตตา และความสัตย์ธรรมของพระองค์ ถ้าเรารู้จักกับพระเจ้าที่เอาแต่ใจ ตั้งกฎแล้ววันดีคืนดีพระเจ้าก็บอกไม่เอาแล้ว เปลี่ยนกฎดีกว่า เห็นคนนี้น่ารัก ทำบาปก็ไม่ต้องตายแล้วกัน พี่น้องลองคิดดู ถ้าเรามีพระเจ้าแบบนี้ เราต้องคอยผวาตลอดเวลาไหม คอยแอบมองว่าวันนี้พระเจ้าอารมณ์ดีไหม ถ้าพระเจ้าอารมณ์ดี เราอาจจะได้รับพระพรจากพระเจ้า หรือพรุ่งนี้พระเจ้าอารมณ์ไม่ดี เราทำดี พระเจ้ายังไม่โปรด พระเจ้าก็ตีเรา ไม่ใช่นะคะ ดิฉันยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า เรามีพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ เป็นพระเจ้าผู้มีระบบระเบียบ เป็นพระเจ้าผู้ตรัสแล้วไม่คืนคำ ตรัสอย่างไร เป็นอย่างนั้น


ฉะนั้นพระสัญญาของพระเจ้า สามารถที่จะเชื่อถือได้ เมื่อเรามาอยู่ในพระเจ้า เราต้องมั่นใจขนาดนี้ เราถึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ยิ่งชีวิตปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก หรือเหตุการณ์มากมายที่เข้ามาในชีวิตของเรา แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราไม่สามารถมั่นใจพระเจ้าองค์นี้ได้ ว่าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้าสามารถช่วยเราได้ เราแย่เลย คนที่เป็นคริสเตียนก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ไม่รู้ว่าสามารถที่จะเชื่ออะไรได้ แล้วไม่รู้จะดำรงชีวิตอย่างไรที่จะผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ ขอพระเจ้าเมตตา ให้ถ้อยคำตรงนี้ได้เปิดเผยสำแดง ให้พวกเราได้เห็นพระคุณของพระองค์


โรม 5:16-18

“และของประทานนั้นก็ไม่เหมือนกับผล ซึ่งเกิดจากบาปของคนนั้นคนเดียว เพราะว่าการพิพากษาที่เกิดขึ้น เนื่องจากการละเมิดเพียงครั้งเดียวนั้น ได้นำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานจากพระเจ้าภายหลังการละเมิดหลายครั้งนั้น นำไปสู่ความชอบธรรม เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้น คนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และรับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น”


หมายความว่า พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาตายแล้วตายอีกเพื่อเรา พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว จบเลย พระสัญญาถูกประทับตราไว้แล้ว ใครก็ตามที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ แล้วเมื่อถึงเวลากำหนด เขาได้เข้ามาหาพระเจ้า พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย คนนั้นจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เป็นผู้ชอบธรรมผ่านทางพระบุตรของพระองค์ เมื่อพระเจ้ามองลงมาที่ชีวิตของเรา พระเจ้าจะมองผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่ได้ตายแทนเราบนไม้กางเขน

สิ่งที่พระเจ้ามองคือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ ได้ทำเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว ความบาปผิดของเราได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว เราในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราไม่ต้องคอยกังวลว่าถ้าตายแล้ว เราต้องไปชดใช้หนี้กรรมอีกกี่ชาติ ชาติหน้าเราต้องเกิดเป็นอะไร ไม่ต้องแล้วนะคะ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าคริสเตียนเกิด 2 ครั้ง ตายครั้งเดียว เกิดครั้งที่ 1 ฝ่ายเนื้อหนัง เกิดครั้งที่ 2 ฝ่ายวิญญาณ และตายก็คือลมหายใจออกจากร่าง พี่น้องไม่ต้องไปคอยหวังชาติหน้า ทำดีนะชาติหน้าเราอาจจะได้ดีกว่านี้ ไม่มีนะคะ ถ้าท่านเป็นของพระเจ้า เมื่อตายจากไป วิญญาณเราจะไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถาน นี่คือหลักประกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องมาฟังถ้อยคำของพระเจ้าบ่อยๆ นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องมาอ่านถ้อยคำของพระเจ้าตลอดเวลา เพื่อเราจะไม่ถูกหลอก

ในพระคัมภีร์เดิมบอกว่า “ประชากรของเราถูกขโมย เพราะขาดความรู้” ขโมยเอาสิ่งดีๆ ออกจากชีวิตของเราไป ขโมยเอาความคิดดีๆ ออกไปจากชีวิตของเรา ขโมยสันติสุข ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในชีวิตของเราออกไป เพราะเราขาดความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้า เรื่องที่พระเยซูคริสต์ได้มาทำเพื่อเราบนไม้กางเขน


ไม่สายเกินไปนะคะพี่น้อง ทุกวันให้มีเวลาอยู่กับพระเจ้า

ให้ถ้อยคำของพระองค์ในวันนี้ เป็นกำลังสำหรับพวกเราทุกๆ คนที่กำลังประสบกับความทุกข์ยากลำบาก อึดใจเดียวพี่น้อง เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พระเจ้าจะพาเรากลับบ้าน ให้เรามีชีวิตอยู่เหมือนดั่งว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราสามารถจะอยู่ในโลกใบนี้ ถ้าวันนี้ พระเจ้าบอกว่าจบ ก็คือเราสามารถที่จะบอกกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าลูกพร้อมแล้ว ที่จะไปอยู่กับพระองค์” และเรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ พี่น้องก็สามารถทำได้ ต้องฝึกฝน ต้องพัฒนาทุกวัน นับตั้งแต่วันนี้ไป ไม่สายเกินไปนะคะพี่น้อง ทุกวันให้มีเวลาอยู่กับพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน มีเวลาที่จะฟังเสียงพระเจ้าบ้าง มีเวลาที่จะดำเนินชีวิตแบบอยู่ในลู่ทางของพระเจ้า บอกพระเจ้าทุกวัน ขอพระเจ้าช่วยเหลือเราทุกๆ วัน รักษาย่างเท้าของเรา อย่าให้เราทำบาปกับพระองค์ ถ้าเราทำบาปกับพระองค์ขอพระองค์เปิดตาให้เราเห็นเร็วๆ นึกออกไหมคะ ทำไมต้องเร็ว เพื่อเราจะได้เจ็บตัวน้อยลง ถ้าช้า เราจะเจ็บตัวเยอะ เพื่อว่าเราจะได้กลับใจใหม่ได้เร็ว และพระเจ้าจะสามารถช่วยเหลือเราได้เร็วขึ้น


นี่คือหลักการของการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังอนุญาตให้เราอยู่ เรามาอยู่รวมกัน ในคริสตจักรของพระองค์ เพื่อเราจะได้ช่วยกัน ใครอ่อนกำลัง ก็เสริมกำลังกัน นี่เป็นพระพรสำหรับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระเจ้า ขอพระเจ้าเมตตาให้พวกเราทุกๆ คนเห็นถึงคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา รักษาความรอดไว้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิตของพวกเรา ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

เพื่อให้ผลของท่านคงอยู่



ศจ. ประสาทพงศ์ ปั้นสวย ( ศิษยาภิบาลคริสตจักรที่สอง สามย่าน )

พระวจนะ : ยอห์น 15.16 “ ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน ”


พระเจ้าทรงประทานชีวิตเราให้เกิดผลและเป็นผลที่คงอยู่

จากพระธรรมเยเรมีย์ 17.7-8 “ คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพรคือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้า เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปี ”

ยอห็น 15.8 “ พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา ”

ยอห์น 15.16 “ ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลายและได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ ”

พระเจ้าทรงเปรียบเราเป็นเป็นเหมือนต้นไม้ที่เกิดดอกออกผล ไม่ใช่พันธุ์ดกแต่เป็นพันธุ์ดี เช่นเดียวกับชนชาติอิสราเอลซึ่งเปรียบเสมือนองุ่นพันธุ์ดี พระเจ้าทรงคาดหวังจะได้เก็บเกี่ยวผลที่ดี แต่เขากลายเป็นองุ่นเปรี้ยว ในพระธรรมอิสยาห์ 5.1-7 ในที่สุดพระเจ้าทรงถอนทิ้ง

พระเยซูทรงตรัสว่า..ท่านจะรู้จักเขาจากผลของเขา.. ผลคือเกียรติ สง่าราศี ผลดีในชีวิตคริสเตียน ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ผลในที่นี่หมายถึง ผลชีวิต ผลการงานทั่วไป และผลแห่งการรับใช้ตามหน้าที่ๆพระเจ้ามอบหมายให้ทำ

เราต้องปฏิบัติอย่างไร ชีวิตจึงจะเกิดผลดี เกิดผลดก เกิดผลตลอดเวลาและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ :

• วางใจในพระเจ้า ในพระธรรมเยเรมีย์ 17.7..คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร..และหนังสือสุภาษิต 3.5-6..จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าและพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น.. 1 เปโตร 5.7 ยังกล่าวไว้อีกว่า..จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย..

• ปลูกฝังพระคำ ในยอห์น 15.7-8..ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก.. และสุภาษิต 16.20 บอกกับเราว่า..บุคคลผู้สนใจในพระวจนะจะพบของดี..กับยอห์น 15.4 ,7 ..จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทในเราฉันนั้นถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทในเรา และถ้อยคำของเรายังอยู่ในท่านแล้ว...ชีวิตของเราถ้าห่างพระคำก็จะเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ในที่แห้งแล้ง เมื่อถูกแดดเผา จะเหี่ยวแห้งไป ผลก็ร่วงหล่น

• พูดพระคำ ในสุภาษิต 18.7..ปากของคนโง่เป็นสิ่งทำลายตัวเขาเอง และริมฝีปากของเขาก็เป็นบ่วงดักตนเอง.. และสุภาษิต 18.21.. ความตายความเป็น อยู่ที่อำนาจของลิ้น และบรรดาผู้ที่รักมันก็จะกินผล ( คำพูด ) ของมัน.. คำพูดของเราต้องไม่ยกย่องกิจการของมารและเนื้อหนัง และต้องพูดสิ่งที่สอดคล้องกับพระวจนะ อ.เปาโลได้หนุนใจเราว่า..จงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า..

กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวว่า..แต่ความปิติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า ภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืน เขาเป็นดั่งเช่นต้นไม้ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างที่เขากระทำก็เจริญขึ้น..สดุดี 1.2-3

ฉะนั้นจงให้การสนทนาในชีวิตประจำวัน ด้วยพระคำของพระเจ้าในทุกสถานการณ์ของชีวิต แล้วชีวิตของเราก็จะมีสิ่งดีๆบังเกิดขึ้นในชีวิตของเราแน่นอนและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ก็ด้วยการพูดพระคำของพระเจ้าเสมอ.

สรุป

เราสามารถมีผลมากและเป็นผลที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นผลที่คงอยู่ ถ้า

• มีความสนิทสนมและไว้วางใจพระเจ้าอย่างสนิทใจ

• อ่านพระคำ ศึกษาพระคำ ใคร่ครวญพระคำ ทำให้เป็นนิสัย

• ควบคุมคำพูดในทางเดียวกับพระคำ เชื่อพระคำด้วยใจและต้องพูดออกมาด้วยปาก การอัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น.

สร้างคนสร้างงานให้ดูตรงที่กาลเวลา

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง สร้างคนสร้างงานให้ดูตรงที่กาลเวลา
เทศนาโดย อ.ชูชาติ ยะเกษม
วันที่ 24 กรกฎาคม 05

คำนำ ในการสร้างอะไรก็ตาม ต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านสร้างอาคาร ต่างๆทุกอย่าง ก็ต้องใช้เวลา ถ้าเราดูในพระธรรม ยอห์น 2:4 มีอยู่ครั้งหนึ่งในงานแต่งงาน ที่หมู่บ้านคานา เวลานั้น เหล้าองุ่นของเจ้าภาพหมด นางมารีย์ก็มาขอการช่วยเหลือ จากพระเยซูแต่พระเยซูบอก กับนางว่า เวลาเรายังมาไม่ถึง เช่นเดียวกันในการรับใช้พระเจ้าเราต้องใช้เวลาและดูเวลาด้วย พระธรรม มาระโก 10:46-52 ได้กล่าวถึงชีวิตของ บาธิเมอัส ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ด ีให้กับเราในการ ดำเนินที่เป็นพอพระทัยพระเจ้า วันนี้ข้าพเจ้าจะแบ่งปัน 5 ประการดังนี้


1. ใช้เวลาสอบถามว่าพระเยซูคือใคร? บาธิเมอัสเป็นตาบอด คงไม่เคยเห็นพระเยซูหรอก นอกจากบาธิเมอัสจะสอบถามคนอื่น ว่าพระเยซูนั้นเป็นคนอย่างไร มีอาชีพอะไรและ พระองค์ ทำอะไรได้ แน่นอนคำตอบที่เขา ได้รับก็คือพระเยซูช่วย ได้ทุกอย่างแม้ แต่คนง่อย ก็เดินได้ คนตาบอดก็เห็นคนหูหนวกก็ได้ยิน คนตายก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อบาธิเมอัส ได้ยินเช่นนั้น บาธิเมอัสไม่รอช้าที่จะเรียกหาพระเยซู แม้ว่าฝูงชนมากมายจะห้ามเขาในชีวิตของเราเช่นเดียวกัน เราต้องเสาะแสวงพระเยซู ด้วยใจร้อนรน เพื่อพระองค์จะได้ตอบคำอธิษฐานของเรา อย่ากลัวแม้จะมีอุปสรรค


2.วางแผน บาธิเมอัสมีแผนเพื่อจะพบกับพระเยซู แน่นอนคนตาบอดถ้าไม่บอกทางให้เขา เขาคงไม่มีทางที่จะไปหาพระเยซูได้ บาธิเมอัสต้องถามอยู่ตลอดเวลาว่า เมื่อไหร่พระเยซูจะมา บาธิเมอัสก็ร้องตะโกนอย่างสุดเสียงว่า


“พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์เถิด” ชีวิตคริสเตียนเราก็เช่นกัน เราต้องมีการ วางแผนที่ดีในดำเนินชีวิตที่รับใช้พระเจ้า อย่างไรก็ตามในการวางแผน เราต้องมุ่ง ไปที่พระเยซู คริสต์เจ้าอย่างที่บาธิเมอัสได้มุ่งไปที่พระเยซู อย่าย่อท้อ ให้เราสู้ด้วยใจกล้าหาญ


3.ทิ้งผ้าเก่าๆอย่าเอาสิ่งเก่าๆมาติดตัว เราต้องรับสิ่งใหม่ๆ สิ่งเก่าๆ ให้เราทิ้งไปเสีย เริ่มต้นใหม่ เหมือนอย่างบาธิเมอัส เริ่มต้นชีวิตโดยการทิ้งผ้าห่มเก่าๆ ที่เคยเอา ไปด้วยเวลามีชีวิตท ี่ใหม่โดยการเดินในทางของพระเยซู ในพระคำของ พระเจ้าได้กล่าวว่าอย่าเอาผ้า ใหม่มาปะติด กับผ้าเก่า เช่นเดียวกันชีวิตเก่า ให้เราทิ้งไปเสียแล้วเริ่มต้นชีวิต ใหม่มุ่งเดิน ไปกับพระเยซู คริสต์ของเรา


4.เชื่ออย่างไม่หันกลับ ถ้าเราดูในพระคัมภีร์เดิมมีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าให้โลท ละครอบครัว หนีจากไฟที่จะทำลายเมืองโสโดม โกโมราห์ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ได้บอก กับทุกคนว่า อย่าหันหลังกลับ แต่ภรรยาของโลทไม่เชื่อฟัง เมื่อภรรยาโลทไม่เชื่อฟังผลตอบแทนก็คือ เขาต้องกลายเป็นเสาเกลือทันที ในชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเดินไปกับพระเจ้าแล้ว อย่าหันหลังกลับไปอีก ไม่อย่างนั้นท่านจะเหมือนภรรยาของโลท ไม่อาจที่จะอย ู่ร่วมกับครอบครัวอีกต่อไป


5.เดินทางตามพระองค์ไป บาธิเมอัสเมื่อได้ยินว่าพระเยซูมา เขาไม่ได้ถามพ่อแม่ก่อน สิ่งที่เขาถามก็คือพระเยซูจะมาเมื่อไหร่? เขาไม่เอาของขวัญแค่ในโลกนี้ แต่เขารอคอย ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือพระเยซูคริสต์ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินและสวรรค์ พี่น้องที่รัก เราอยากได้เฉพาะของขวัญในโลกนี้ซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราว หรือว่าเราอยาก ได้พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง

๒๕๕๑/๐๗/๑๗

ความเชื่อที่นำไปสู่ชัยขนะ


วันนี้ ผมจะขอพูดถึงความเชื่อ โดยเป็นความเชื่อที่นำไปสู่ชัยชนะ นำไปสู่ผลสำเร็จในที่สุด ซึ่งเป็นความเชื่อที่พระองค์ทรงโปรดปราน

คริสเตียนทุกคน เมื่อได้เชื่อแล้ว ก็จะนำไปสู่ความรอดในที่สุด และได้รับความรอดแล้ว

แต่ในชีวิตคริสเตียนประจำวัน เราจะต้องดำเนินด้วยความเชื่อในแต่ละวัน ซึ่งเป็นขบวนการที่สำคัญมากของชีวิตคริสเตียน เพราะการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อนั้น เป็นการรักษาความรอดที่เราได้รับจากพระเจ้า

วันนี้จะขอแบ่งปันพระวจคำจากพระธรรมโยชูวา บทที่ 6

"1 เพราะเหตุคนอิสราเอลเมืองเยรีโคต้อง ถูกปิดไว้ไม่มีคนเข้าออกได้เลย
2 พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “ดูแน่ะเราได้มอบเมืองเยรีโคไว้ในมือเจ้าแล้ว ทั้งกษัตริย์และทแกล้วทหาร
3 เจ้าทั้งหลายจงเดินขบวนรอบเมือง คือให้บรรดาทหารไปรอบเมืองครั้งหนึ่ง เจ้าจงทำเช่นนี้หกวัน
4 ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือเขาแกะเจ็ดคันนำหน้าหีบ และในวันที่เจ็ดนั้นเจ้าทั้งหลายจงเดินรอบเมืองเจ็ดครั้ง ให้ปุโรหิตเป่าเขาแกะไปด้วย
5 และเมื่อเขาเป่าเขาแกะเป็นเสียงยาว พอเจ้าได้ยินเสียงเขาแกะนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งปวงโห่ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง กำแพงเมืองนั้นก็จะพังลงราบ และประชาชนจะขึ้นไป ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตน”
6 ฝ่ายโยชูวาบุตรนูนจึงเรียกปุโรหิตมาสั่งว่า “จงยกหีบพันธสัญญาขึ้นหามไป ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเจ็ดคันเดิน นำหน้าหีบแห่งพระเจ้า”
7 และท่านสั่งประชาชนว่า “จงออกเดินรอบเมืองนั้น ให้ทหารถืออาวุธเดินข้างหน้าหีบแห่งพระเจ้า”
8 เมื่อโยชูวาบัญชาแก่ประชาชนแล้ว ปุโรหิตเจ็ดคนที่ถือเขาแกะเจ็ดคันต่อ พระพักตร์พระเจ้าก็เดินข้างหน้าเป่าเขาแกะไป และมีหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าตามเขามา
9 และทหารถืออาวุธเดินอยู่หน้าปุโรหิตผู้เป่าเขาแกะ และกองระวังหลังก็เดินตามหีบฝ่ายเขาแกะนั้นก็เป่า อยู่เรื่อยไป
10 แต่โยชูวาบัญชาประชาชนว่า “ท่านอย่าโห่ร้อง อย่าให้ใครได้ยินเสียงของท่าน อย่าให้ถ้อยคำหลุดออกจากปากของท่านทั้งหลายเลย จนกว่าจะถึงวันที่ข้าพเจ้าบอกให้ท่านโห่ร้อง ท่านจึงโห่ร้องกัน”
11 ท่านได้กระทำให้หีบแห่งพระเจ้าเวียนรอบเมืองดังนี้แหละ คือเวียนรอบหนึ่งเที่ยวเขาก็กลับเข้าค่าย นอนค้างคืนอยู่ในค่ายนั้น
12 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าและปุโรหิตก็ยกหีบแห่งพระเจ้าขึ้นหาม
13 และปุโรหิตเจ็ดคนถือเขาแกะเจ็ดคันเดิน หน้าหีบแห่งพระเจ้าเป่าเขาแกะเรื่อยไป และทหารถืออาวุธก็เดินอยู่ข้างหน้าเขา และกองระวังหลังก็เดินอยู่ข้างหลังหีบแห่งพระเจ้า ฝ่ายเขาแกะก็เป่าเรื่อยไป
14 และในวันที่สองเขาก็ เดินรอบเมืองนั้นครั้งหนึ่งแล้วกลับเข้าค่ายอีก เขาทำเช่นนี้อยู่หกวัน
15 ในวันที่เจ็ด เขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เดินกระบวนรอบเมืองอย่างเคยเจ็ดครั้ง เฉพาะวันเดียวนั้นเขาได้เดินกระบวนรอบเมืองเจ็ดครั้ง
16 ในครั้งที่เจ็ด เมื่อปุโรหิตเป่าเขาแกะ โยชูวาบอกแก่ประชาชนว่า “จงโห่ร้องขึ้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงมอบเมืองให้แก่ท่านแล้ว
17 เมืองนั้นและสารพัดในเมืองนั้นเป็นของที่ต้อง ทำลายถวายแด่พระเจ้า เว้นแต่ราหับหญิงโสเภณีกับคนทั้งหลายที่อยู่ใน เรือนของนางจะรอดชีวิต เพราะว่านางได้ซ่อนผู้สื่อสารที่พวกเราใช้ไป
18 แต่ส่วนท่านทั้งหลายจงห่างไกลจากของ ที่ต้องทำลายถวายนั้น เกรงว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้ถวายสิ่งเหล่านั้นแล้ว ท่านจะเก็บสิ่งที่ถวายแล้วนั้นไว้บ้าง ก็จะทำให้ค่ายของคนอิสราเอลเป็นสิ่งที่ต้องทำลาย และนำความทุกข์ลำบากมาสู่
19 แต่บรรดาเงินและทอง และเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และเหล็กเป็นของถวายแด่พระเจ้า ให้นำเข้าไปไว้ในคลังของพระเจ้า”
20 เหตุฉะนั้นประชาชนก็โห่ร้อง และแตรก็เป่า พอประชาชนได้ยินเสียงเขาแกะ เขาก็โห่ร้องดัง และกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึงขึ้นไปในเมือง ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น" (เยรีโค 6:1-20)

ความเชื่อ เป็นเรื่องใหญ่มาก สำหรับคนที่ได้มารู้จักพระเจ้า ความเชื่อเป็นตัวกำหนดอนาคตของการดำเนินชีวิตของเราตลอดเวลา และพระเจ้ามักจะท้าทายเราเสมอ ให้เรามีความเชื่อในพระองค์

หลาย ๆ คนที่ออกมาเป็นพยาน นี่เป็นสิ่งที่น่ายกย่องมาก เพราะเป็นการยืนยันของคนเหล่านั้น ถึงชีวิตที่มีความเชื่อในพระองค์

หนังสือโยชูวา พูดถึงความเชื่อของชาวอิสราเอลที่มีต่อพระเจ้า เมื่อชนชาติอิสราเอลรับพระบัญญัติของพระเจ้าในการดำเนินชีวิต และพวกเขาได้รับการสัญญาจากพระเจ้าว่า พระองค์จะทรงนำพวกเขากลับไปสู่แคว้นคานาอัน แต่ปัญหาของอิสราเอล คือ การดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเรา บางครั้งมีอุปสรรค ไม่ง่ายสักเท่าไหร่ และอิสราเอลในตอนนี้ก็เช่นกัน พวกเขาข้ามเข้าไป กำลังจะได้แผ่นดินแห่งพันธสัญญาแล้ว แต่มีสิ่งสิ่งหนึ่งที่ขวางทางของเขา ก็คือ เมืองเยรีโค ซึ่งเมืองเยรีโคนี้ ทำให้ฝันของชาวอิสราเอลสลาย ทำให้เขาหมดหวัง สิ้นหวัง และมองไม่เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ตอนนี้ บอกว่า เมื่ออิสราเอลเจอเมืองเยรีโค สิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสแก่พวกเขา ก็คือ "ดูแน่ะเราได้มอบเมืองเยรีโคไว้ในมือเจ้าแล้ว" (ข้อที่ 2) ซึ่งพระดำรัสในตอนนี้ นำให้เราเห็นว่า พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงอยู่เหนือปัญหาต่าง ๆ ของพวกเขา เพื่อให้อิสราเอลมีใจกล้า ที่จะเผชิญหน้ากับเมืองเยรีโค หนุนใจให้อิสราเอลไม่ต้องกลัว และสิ่งที่ต้องทำ ก็คือ เชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้า ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะช่วยกู้ชีวิตเราให้พ้นจากอุปสรรคต่าง ๆ

"เหตุฉะนั้นประชาชนก็โห่ร้อง และแตรก็เป่า พอประชาชนได้ยินเสียงเขาแกะ เขาก็โห่ร้องดัง และกำแพงก็พังลงราบ" (โยชูวา 6:20)

แต่การที่จะได้เมืองเยรีโคนี้ เขาจะต้องผ่านการทดสอบแห่งความเชื่อ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเขาได้เชื่อฟังตามพระดำรัสของพระเจ้าหรือไม่ เพียงแค่เดินรอบเมืองเยรีโค เพียงแค่กระทำตามนี้ ก็จะได้เมืองเยรีโคในที่สุด และจากพระธรรมได้บอกชัดเจนว่า พวกอิสราเอลได้เชื่อฟังพระเจ้า และได้เมืองเยรีโคในที่สุด

หลายครั้ง การดำเนินชีวิตคริสเตียนของพวกเรา ก็ได้เจออุปสรรค ดังเช่นเมืองเยรีโคบ่อย ๆ บางคนอาจจะเกิดข้อสงสัยต่าง ๆ มากมาย แต่จะขอหนุนใจว่า ต่อให้จะมีเยรีโคกี่แห่ง เราก็มีวิธีที่สามารถผ่านมันไปได้ เพราะว่าพระเจ้าของเรา ก็คือพระเจ้าองค์เดียวกับพระคัมภีร์ตอนนี้ พระองค์ทรงรักเรา และทรงยิ่งใหญ่มาก จะทรงสามารถผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพียงแค่เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เพื่อผ่านพ้นจากการทดสอบแห่งความเชื่อเหล่านี้ไปได้

บางครั้ง เยรีโคก็เกิดขึ้นในชีวิตพวกเรา เกิดขึ้นเพื่อให้เราได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

หลายครั้งที่เราทำงานยุ่ง ทำการรับใช้มากมาย จนไม่มีเวลาที่จะอธิษฐาน ไม่มีเวลาที่อ่านพระคัมภีร์ แล้วพระเจ้าทรงส่ง "เยรีโค" ขึ้นมาในชีวิตของเรา เพื่อให้เราได้อธิษฐาน เข้าเฝ้าพระองค์ เพื่อเป็นการสอนเรา

แต่บางครั้งที่พระเจ้าทรงตรัสกับเรา เราอาจจะรู้สึกว่าเกินความจริง และเราอาจจะรู้สึกขำ ดังเช่นที่นางซาราห์รู้สึกขำ ตอนที่พระเจ้าทรงตรัสแก่เขาว่า เขาจะสามารถคลอดบุตรได้ แต่นี่แหละ จะเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เราใช้ความเชื่อ

คนที่ติดคุกนั้น มีความหวังของพวกเขาก็คือ การอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นนักโทษทุกคนจะมีความหวัง และเป็นความฝันที่เป็นความจริง พวกเขาจะรอคอยวันที่ 5 ธันวาคม ระหว่างที่เขาอยู่ในคุก จะมีบททดสอบเช่นเดียวกัน เพื่อจะทดสอบว่าเขาจะสามารถรับอภัยโทษได้หรือไม่ ทุก ๆ วันเขาต้องฝึกฝนชีวิต และพยายามทำตัวให้ดีที่สุด เพราะนักโทษที่อยู่ในเกณฑ์ เยี่ยม และยอดเยี่ยม จึงจะมีโอกาสได้รับอภัยโทษในที่สุด

พี่สาวของผมคนหนึ่ง เป็นโรคไตเสื่อม ซึ่งจำเป็นต้องฟอกไต ซึ่งเจ็บปวดมาก ผมในฐานที่เป็นคริสเตียน จึงบอกเขาว่า จะอธิษฐานให้ เพราะผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยได้ สามีของเขาก็หัวเราะ ว่าคำอธิษฐานนั้นจะช่วยได้อย่างไร ผมก็ได้อธิษฐานท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง วันต่อมา ก็ได้โทรไปถามเขาอีกที เขาบอกว่า ดีมาก ไม่เจ็บเลย ขอบคุณพระเจ้า

แม้ว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสให้เราทำ อาจจะเป็นสิ่งที่คนรอบข้างนั้นดูแล้วหัวเราะ แต่ขอให้ชีวิตคริสเตียนของเราจะเป็นชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นในพระเจ้าจริง ๆ แล้วในที่สุด พระเจ้าจะทรงนำให้เรามีชัยได้ เมื่อไหร่ที่เราใช้ความเชื่อ พระเจ้าจะทรงใช้ความเชื่อของเรา เพื่อให้เราและคนรอบข้างที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในที่สุด



ศจ. สุนทร สุนทรธาราวงศ์

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 20/04/2008

เรื่อง ความเชื่อที่นำไปสู่ชัยชนะ

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

๒๕๕๑/๐๗/๑๓

ความฝันนั้นสำคัญไฉน ?

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง ความฝันนั้นสำคัญไฉน ?
เทศนาโดย อ. ดาวิด นิวตัน
วันที่ 7 สิงหาคม 05

คำนำ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ ท่านรู้หรือยังว่าพระองค์อยู่ใกล้ คอยช่วยเหลือท่าน
อยู่เสมอ ไม่ว่าท่านเป็นใคร ทำอะไร และเป็นเช่นไร ? พี่น้องที่รักท่านเคยมี นิมิต หรือมีความฝันบ้างไหม ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนต้องมีความฝัน มีนิมิตมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะมากหรือน้อย อยู่ที่แต่ล ะบุคคล แต่อย่างไรก็ตามเรารู้สึกตื่นเต้นกับความฝัน
ของเราไหม ?

และเราในฐานะเป็นคริสเตียนเรามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือชีวิต นิรันดร์ อย่าให้ความฝัน ของเราเสียไป แต่ในนี้เราจะเรียนรู้ถึงบุคคลห้าคนที่เป็นตัวอย่าง ที่ดี ให้กับเรา แต่ข้าพเจ้า
จะเน้น แค่สี่คนเท่านั้น ให้เราดูในพระธรรม มาระโก 2:1-12 กล่าวถึง บุคคลสี่คนหาม คนง่อยคนหนึ่ง ไปหาพระเยซู เพื่อพระองค์จะได้รักษาคนง่อย คนนี้ และสุดท้ายก ็ได้รับการ รักษาอย่างที่ตั้งใจไว้ เราจะเรียนรู้พระคำตอนนี้ได้ดังนี้.


ประการที่หนึ่ง “ ความเชื่อ ” ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราทุกคน และความเชื่อ
คือความ แน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เราจะเห็นว่าสี่คนนี้มีความเชื่อมีความฝัน ที่หนักแน่น นั้นก็ คือ ต้องการให้คนง่อยคนนี้ ได้รับการรักษา ทั้งสี่คนรู้อย่างเดียวว่า มีทางเดียวเท่านั้น ที่คนง่อยจะ ได้รับการรักษา ทางนั้นก็คือ ทางพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น ฉะนั้น ทั้งสี่คน ก็พยายามทุกวิถีทาง แม้ว่าจะเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย เขาไม่ยอมแพ้ เขามี ความเชื่อว่า พระเยซูต้องรักษา คนนี้ได้อย่างแน่นอน เราเป็นคนเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า ? เรามีความเชื่อที่หนักแน่น มั่นคงเหมือนสี่คนนี้ไหม ? ถ้ายัง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนโดยการมีนิมิต เป้าหมายที่ชัดเจน ก้าวไปด้วยความเชื่อว่า เราทำได้ โดยพระเยซูคริสต์ เป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเอาพระเยซูคริสต์เป็นที่ตั้ง และไม่ยอมแพ้อย่างง่าย ๆ สู้ไปให้ถึงฝันนั้น

ประการที่สอง “ ความกระตือรือร้น ” ทั้งสี่คนเมื่อเชื่อว่าพระเยซูรักษาคนง่อยคนนี้ได้
เขาทั้งสี่ไม่อยู่เฉย ๆ เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะไปหาพระเยซูให้ได้ แม้ว่าเวลานั้นเมื่อ ไปถึงบ้าน ที่พระเยซูประทับอยู่นั้น เข้าไปหาพระองค์ไม่ได้ เพราะคนเต็มไปหมด แต่ เขาทั้งสี่ช่วย กันแก้ปัญหา ด้วยความกระตือรือร้น สุดท้ายเขาก็พาคนง่อยคนนี้ไปถึงพระเยซูจนได้ เราก็เช่นเดียวกันถ้าเรามีนิมิตเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความกระตือรือร้น เราต้องไปถึงเป้า หมายอย่างที่เราหวังไว้อย่างแน่นอน ประการที่สาม “ มั่นคงในความฝัน ” ถ้าสี่คนนี้ไม่มั่นคงในความฝันคนง่อยคนนี้ คงไม่ได้รับการรักษา อย่างแน่นอน แต่เขาทั้งสี่มั่นคงในความฝัน ต้องไปให้ได้ ต้อง ไปให้ถึง ทั้งสี่ก็พาคนง่อยคนนี้ไปถึงพระเยซู เราเองก็เช่นกัน เราต้องมั่นคงใน ความฝัน ต้องไปให้ได้และไปให้ถึง แม้จะเจอกับอุปสรรค อย่าพึ่งยอมแพ้ กับ ความฝันนั้น และความฝันสักวันต้องเป็นของเราอย่างแน่นอน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีการประชุมผู้นำคริสตจักรหลายประเทศร่วมกัน เรื่องเกี่ยวกับ
ในละประเทศทำไมไม่ได้รับการฟื้นฟูใหญ่ อเมริกาเหนือขึ้นมากล่าวว่า เราไม่มีงบพอ
ประเทศทางยุโรปได้ขึ้นมา กล่าวว่าเราขาดนิมิตที่ชัดเจน เราขาดความไม่เป็นน้ำหนึ่ง
ประเทศรัสเชียขึ้นมากล่าวว่า เรามีความคิดหลายอย่างแต่ก็ได้แค่คิด เพราะประเทศเรา
เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ แต่มีอีกคนหนึ่งมาจากประเทศไนจีเรียทวีปแอฟริกา คนนี้
เป็นครูสอนเลข ปี1974 คริสตจักรเขามีคนมานมัสการถึง12,000 คน ตั้งคริสตจักรได้
4500 แห่ง กล่าวว่าประเทศเราไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาอยู่ที่ผมเอง ผมกลัวว่าความฝัน
ของผมเล็กกว่าความฝันของพระเจ้า อธิษฐานเผื่อผมด้วย พี่น้องที่รัก เรามีความฝันไหม
เรามีความเชื่อว่าพระเยซูช่วยเราได้ไหม ? เรามีความกระตือรือร้นกับความฝันเราไหม?

สร้างคนสร้างงานให้ดูตรงที่กาลเวลา

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง สร้างคนสร้างงานให้ดูตรงที่กาลเวลา
เทศนาโดย อ.ชูชาติ ยะเกษม
วันที่ 24 กรกฎาคม 05

คำนำ ในการสร้างอะไรก็ตาม ต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านสร้างอาคาร ต่างๆทุกอย่าง ก็ต้องใช้เวลา ถ้าเราดูในพระธรรม ยอห์น 2:4 มีอยู่ครั้งหนึ่งในงานแต่งงาน ที่หมู่บ้านคานา เวลานั้น เหล้าองุ่นของเจ้าภาพหมด นางมารีย์ก็มาขอการช่วยเหลือ จากพระเยซูแต่พระเยซูบอก กับนางว่า เวลาเรายังมาไม่ถึง เช่นเดียวกันในการรับใช้พระเจ้าเราต้องใช้เวลาและดูเวลาด้วย พระธรรม มาระโก 10:46-52 ได้กล่าวถึงชีวิตของ บาธิเมอัส ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ด ีให้กับเราในการ ดำเนินที่เป็นพอพระทัยพระเจ้า วันนี้ข้าพเจ้าจะแบ่งปัน 5 ประการดังนี้


1. ใช้เวลาสอบถามว่าพระเยซูคือใคร? บาธิเมอัสเป็นตาบอด คงไม่เคยเห็นพระเยซูหรอก นอกจากบาธิเมอัสจะสอบถามคนอื่น ว่าพระเยซูนั้นเป็นคนอย่างไร มีอาชีพอะไรและ พระองค์ ทำอะไรได้ แน่นอนคำตอบที่เขา ได้รับก็คือพระเยซูช่วย ได้ทุกอย่างแม้ แต่คนง่อย ก็เดินได้ คนตาบอดก็เห็นคนหูหนวกก็ได้ยิน คนตายก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อบาธิเมอัส ได้ยินเช่นนั้น บาธิเมอัสไม่รอช้าที่จะเรียกหาพระเยซู แม้ว่าฝูงชนมากมายจะห้ามเขาในชีวิตของเราเช่นเดียวกัน เราต้องเสาะแสวงพระเยซู ด้วยใจร้อนรน เพื่อพระองค์จะได้ตอบคำอธิษฐานของเรา อย่ากลัวแม้จะมีอุปสรรค


2.วางแผน บาธิเมอัสมีแผนเพื่อจะพบกับพระเยซู แน่นอนคนตาบอดถ้าไม่บอกทางให้เขา เขาคงไม่มีทางที่จะไปหาพระเยซูได้ บาธิเมอัสต้องถามอยู่ตลอดเวลาว่า เมื่อไหร่พระเยซูจะมา บาธิเมอัสก็ร้องตะโกนอย่างสุดเสียงว่า


“พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์เถิด” ชีวิตคริสเตียนเราก็เช่นกัน เราต้องมีการ วางแผนที่ดีในดำเนินชีวิตที่รับใช้พระเจ้า อย่างไรก็ตามในการวางแผน เราต้องมุ่ง ไปที่พระเยซู คริสต์เจ้าอย่างที่บาธิเมอัสได้มุ่งไปที่พระเยซู อย่าย่อท้อ ให้เราสู้ด้วยใจกล้าหาญ


3.ทิ้งผ้าเก่าๆอย่าเอาสิ่งเก่าๆมาติดตัว เราต้องรับสิ่งใหม่ๆ สิ่งเก่าๆ ให้เราทิ้งไปเสีย เริ่มต้นใหม่ เหมือนอย่างบาธิเมอัส เริ่มต้นชีวิตโดยการทิ้งผ้าห่มเก่าๆ ที่เคยเอา ไปด้วยเวลามีชีวิตท ี่ใหม่โดยการเดินในทางของพระเยซู ในพระคำของ พระเจ้าได้กล่าวว่าอย่าเอาผ้า ใหม่มาปะติด กับผ้าเก่า เช่นเดียวกันชีวิตเก่า ให้เราทิ้งไปเสียแล้วเริ่มต้นชีวิต ใหม่มุ่งเดิน ไปกับพระเยซู คริสต์ของเรา


4.เชื่ออย่างไม่หันกลับ ถ้าเราดูในพระคัมภีร์เดิมมีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าให้โลท ละครอบครัว หนีจากไฟที่จะทำลายเมืองโสโดม โกโมราห์ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ได้บอก กับทุกคนว่า อย่าหันหลังกลับ แต่ภรรยาของโลทไม่เชื่อฟัง เมื่อภรรยาโลทไม่เชื่อฟังผลตอบแทนก็คือ เขาต้องกลายเป็นเสาเกลือทันที ในชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเดินไปกับพระเจ้าแล้ว อย่าหันหลังกลับไปอีก ไม่อย่างนั้นท่านจะเหมือนภรรยาของโลท ไม่อาจที่จะอย ู่ร่วมกับครอบครัวอีกต่อไป


5.เดินทางตามพระองค์ไป บาธิเมอัสเมื่อได้ยินว่าพระเยซูมา เขาไม่ได้ถามพ่อแม่ก่อน สิ่งที่เขาถามก็คือพระเยซูจะมาเมื่อไหร่? เขาไม่เอาของขวัญแค่ในโลกนี้ แต่เขารอคอย ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือพระเยซูคริสต์ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินและสวรรค์ พี่น้องที่รัก เราอยากได้เฉพาะของขวัญในโลกนี้ซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราว หรือว่าเราอยาก ได้พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง

๒๕๕๑/๐๗/๑๒

ใจเดียวกันและเชื่อเดียวกัน และเราจะมีชัย

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง ใจเดียวกันและเชื่อเดียวกัน และเราจะมีชัย
เทศนาโดย อ.โยชิฮิโกะ ฮิตากะ
วันที่ 17 กรกฎาคม 05

คำนำ

พระธรรม มาระโก 2:1-12 กล่าวว่า ครั้นล่วงไปหลายวัน พระองค์ได้เสด็จ ไปเมืองคาเปอรนา อุมอีก และคนทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์ประทับที่บ้าน ก็มาชุมนุมกันจนเต็มเข้าประตูไม่ได้ มีสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาหาพระองค์ เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์ประทับนั้น

เมื่อเขารื้อเป็นช่องแล้ว เขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ เมื่อพระเยซูทรงเห็น ความเชื่อของ เขาทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” แต่พวกธรรมจารย์ บางคนนั่งอยู่ที่นั่น และคิดในใจว่า “ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครยกความ ผิดบาป ได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น” และทันใดนั้นพระเยซูทรงทราบ ในพระทัยว่าเขาคิด ในใจอย่างนี้ จึงพูดว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจ ในโลกที่จะทรงโปรดยกความผิดบาปได้ พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ไป” คนง่อยก็ลุกขึ้น แล้วยกแคร่ ของตนเดินออก ไปต่อหน้าคนทั้งปวง

คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “เราไม่เคย เห็น เช่นนี้เลย” เมืองคาเปอรนาอุมเป็นเมืองที่ พระเยซูเริ่มประกาศพระกิตติคุณครั้งแรก เพราะในหมู บ้าน นาซาเร็ธ ที่พระองค์อยู่ไม่มีใครยอมรับพระองค์ พระธรรมตอนนี้ ได้กล่าวถึง พระองค ์ประทับที่บ้านหลังหนึ่ง ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกราย ละเอียดว่า เป็นบ้าน ของใคร แต่เขาสันนิฐาน กันว่า น่าจะเป็นบ้านของเปโตร เพราะพระเยซูเคยรักษาแม่ยายของ เปโตรที่เมืองคาเปอรนาอุมนี้ พระธรรมตอนนี้สอนเรา คือ


1.มีใจเดียวกัน และความเชื่อเดียวกัน ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าทั้งสี่คนนี้ มีความเชื่อเดียว กันและมีใจเดียวกัน พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย ให้รอดสามารถ รักษาคน ง่อยที่เขา พามานี้ได้ และมีใจเดียวกันที่จะพาคนง่อยคนนี้ไปหาพระเยซูให้ถึงให้ได้ เพราะว่าแม้ ว่าจะเจอกับอุปสรรคมากมาย เริ่มต้นตั้งแต่ออกจากบ้าน คนง่อยคนนี้อาจจะหนัก ทางอาจจะไกล แถมยังไม่พอเมื่อไปถึงที่พระองค์ประทับแล้วมีแต่คนล้นบ้าน ไม่สามารถที่จะเข้าไปหาพระองค์ แต่พวกเขามีความเชื่อ เขาจึงขึ้นบนดาดฟ้า และรื้อดาดฟ้าหย่อนคนง่อยลงไป ทางที่ขึ้นดาดฟ้า ก็แคบมากแต่เมื่อสี่คนนี้มีใจเดียวกันและมีความเชื่อเดียวกัน อุปสรรคจึงกลาย เป็นอุปกรณ ์ที่คนอื่นเห็นความรักและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทุกคนเห็นก็สรรเสริญพระองค์ เช่นเดียวกับ ในคริสตจักร เราต้องมีใจเดียวกัน และมีความเชื่อเดียวกันด้วย เพื่อพันธกิจการ งานของ คริสตจักรจะ ได้เคลื่อนไปข้างหน้า อย่างรวดเร็วและเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์


2.ร่วมมือกัน ในพระธรรม ปัญญาจารได้กล่าวว่า สองคนดีกว่าคนเดียว ฉะนั้น เราจำเป็น อย่างยิ่ง ที่ต้องมีความร่วมมือกัน เหมือนอย่างสี่คนนี้ ที่ช่วยกันหาม คนง่อย พวกเขาต่าง ช่วยกันแก้ ปัญหา และหามคนง่อยไปหาพระองค์จนได้ เพราะความร่วมมือกัน เช่นเดียวกับคริสตจักรของเรา ถ้าเราร่วมมือร่วมใจกันคนละไม้ และคนละมือในการรับใช้พระเจ้า ในแต่ละด้านตาม ความสามารถ และของประทานของเราแต่ละคน คริสตจักรเราจะก้าวไปอย่างรวดเร็วแน่นอน


3.ระวัง และฟังให้ดี เราต้องระวังอะไร? เราต้องระวังเรื่องการมีความเชื่อในพระเยซู ในคณะ แบ๊บติสต์ ต่างก็เชื่อว่าความเชื่อเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อเราดูพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นเป็น กรณีพิเศษ เพราะความเชื่อไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นความเชื่อที่เผื่อ คนอื่น สี่คนนี้เชื่อเผื่อ คนง่อยคนนี้ และเพราะความเชื่อของสี่คนนี้ คนง่อยจึงหาย เพราะพระคำตอนนี้ได้กล่าวว่า เมื่อพระเยซูเห็นความเชื่อของพวกเขาทั้งหลาย เช่นเดียวกันในชีวิตความเชื่อ เราต้องเกี่ยว ข้องคนและเกี่ยวข้องกับพี่น้อง เพื่อพี่น้องคนอื่น ๆ จะได้รับความรอด และได้รับการช่วย กู้จากพระองค์

๒๕๕๑/๐๗/๐๕

ชีวิตของโมเสสและการสร้างคนของพระเจ้า

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง ชีวิตของโมเสสและการสร้างคนของพระเจ้า
เทศนาโดย อ.ชัยยุทร วันสอง
วันที่ 3 กรกฎาคม 05

คำนำ
ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้มาแบ่งปันพระคำของพระเจ้าที่นี่ รู้สึกว่าชื่นชมยินดีอยู่เสมอและขอบคุณ
พระเจ้าสำหรับวันนี้ด้วยที่ได้รับเกียรติจากคริสตจักรพระสัญญาอีกครั้ง ในวันนี้ข้าพเจ้าจะ
แบ่งปันในเรื่องที่ใกล้เคียงกับหัวข้อนำของคริสตจักรพระสัญญาก็คือ สร้างคนและ สร้างงาน

ข้าพเจ้าจะแบ่งปันเรื่องของชายคนหนึ่งที่พระเจ้าได้ปล้ำสู้เพื่อจะสร้างชีวิตของเขา พระเจ้า ก็โกรธเมื่อเขา ไม่ยอมให้พระเจ้าสร้าง เช่นเดียวกับชีวิต คริสเตียนหลาย คนพระเจ้า ม่พอพระทัย เมื่อเขาไม่ยอมให้พระองค์ได้สร้างชีวิตเขา คริสเตียนก็เหมือนขบวนรถ ไฟมีผู้คนมากมาย อยู่ในขบวนรถไฟนั้นต่างคนต่างก้าวไปที่ จุดหมาย พี่น้องที่รัก พี่น้องเคยเห็นนักยกน้ำหนักไหม ? กว่าเขาจะได้เหรียญทอง เขาต้องฝึก ฝนอยากหนัก ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนักตัวเอง การสร้าง กล้ามเนื้อ ฯลฯ เช่นเดียวกันชีวิต

คริสเตียนเราก็จำเป็นต้องถูกสร้าง บุคคลต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ ได้หนุนใจเราทุกคน มีจุดบกพร่อง ของตัวเอง แต่พระเจ้าสร้างไ ด้และพระองค์ทรง ใช้บุคคลเหล่านั้นด้วย แน่นอนถ้าเราหาคนท ี่พร้อมทุกอย่าง งานคงไม่มีทางที่จะสำเร็จ เพราะทุกคนมีจุดบก พร่องของตัวเอง ฉะนั้น เราจะเรียนรู้ชีวิตชายหนุ่มคนหนึ่งที่ พระเจ้าทรงเรียกและก็ทรงเลือก แม้ว่าจะมีจุดบกพร่อง เหมือนคนอื่น ชายหนุ่มคนนั้นนามว่า โมเสส อพยพ 3:11,13-4;4:10,13 ชีวิตของโมเสส อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสี่สิบปี อยู่ในพระราชวัง อีก สี่สิบปี เลี้ยงแกะอยู่ในประเทศมีเดียม รวมเป็นแปดสิบปีพระเจ้า ได้เรียกโมเสสมารับ ใช้พระองค์ แต่โมเสสก็กลัว เหมือนอย่าง เราหลายคนกลัวกัน


ฉะนั้น วันนี้เราจะเรียนรู้ชีวิตของโมเสสและการสร้างคนของพระเจ้าได้ดังนี้


1.พระเจ้าอยู่ด้วย ครั้งแรกที่พระเจ้าได้ทรงเรียกโมเสส ให้โมเสสไปนำอิสราเอล
ออกจากประเทศอียีปต์ โมเสสก็บอกกับพระองค์ว่า ข้าพเจ้าทำไม่ได้เพราะข้าพเจ้า
ไม่มีอะไร และพระองค์ได้บอกกับโมเสสว่าอะไรอยู่ในมือ โมเสสก็บอกว่าไม้เท้า พระเจ้าก็ให้ โมเสสโยนไม้เท้าลงพื้น ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และให้โมเสสเอามือล้วงไปใต้แขน แขนของโมเสส ก็กลายเป็นโรคเรื้อน นี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้โมเสสรู้ว่า พระองค์อยู่ด้วยเสมอ และพระองค์เป็นพระเจ้าจะสู้แทนโมเสส


2.เราจะตอบเขาว่าอย่างไร ? นี่เป็นข้ออ้างของโมเสสว่า ถ้าเขาจะถามว่าข้าพเจ้าว่า พระองค์เป็นใคร ข้าพระองค์จะตอบเขาว่าอย่างไร ? พระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า
เราเป็นซึ่งเราเป็น แสดงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าและเป็นทุกสิ่งทรงเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง
ขอเพียงให้เราไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ก็จะนำพาเราถึงจุดหมายได้แน่นอน


3.ข้าพระองค์พูดไม่คล่อง นี่เป็นข้ออ้างอีกข้อหนึ่งของโมเสส ที่จะปฏิเสธในการรับใช้พระเจ้า พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่าใครสร้างปากเจ้า เช่นเดียวกันพระเจ้าได้บอกกับเราทุกคนว่า ใครสร้างปากของเราและ พระองค์เป็นผู้สร้าง ที่สู้แทนเรา กลัวทำไม


4.ให้คนอื่นไปเถิด โมเสสไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรแล้ว โดยการไม่อยากรับใช้พระเจ้า จึงบอก อย่างหน้าด้าน ๆว่า ให้คนอื่นไปเถิด พี่น้องที่รักพระเจ้าเรียกเราให้รับใช้ พระองค์ถึงเวลา แล้วอย่า รออีกเลยขอให้เราเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระองค์ ขอย้ำอีกครั้งว่า พระเจ้าเปิดประตู แห่งพระกรุณาแล้ว“อย่ารออีกเลย”ที่จะให้พระองค์สร้างชีวิตเรา

แบบอย่างการอธิษฐานและการเข้าหาพระเจ้า

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง แบบอย่างการอธิษฐานและการเข้าหาพระเจ้า
เทศนาโดย ศจ.ศุภชัย วงศ์ธนาธิกุล
วันที่ 5 มิถุนายน 2005

คำนำ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการนมัสการวันนี้ ชื่อว่าพี่น้องคงจะได้รับการเสริมกำลังจากการนมัสการ วันนี้ข้าพเจ้าจะแบ่งปันพระคำของพระเจ้าอยู่ในพระธรรม มัทธิว 6:1-18 กล่าวว่า …เมื่อท่านถืออดอาหารอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้ มอมแมมเพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมัน ใส่ศรีษะเพื่อจะ ไม่ได้รู้ว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดา ของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน…” พระคำตอนนี้เป็นแบบอย่าง ให้กับเราในเรื่องการอธิษฐานหรือในการเข้าหาพระเจ้า เราต้องหาพระองค์ด้วยความถ่อมใจ ไม่ใช่ด้วยความอวดตัว ฉะนั้นเราจะเรียนรู้ด้วยกันได้ดังต่อไปนี้.

1.ทำทานอย่าเป่าแตร หมายถึง ในการช่วยเหลือคน คริสตชนต้องทำด้วยใจ ไม่ใช่ว่าทำ เพื่อหวัง ให้สังคมยอมรับ,หวังให้สังคมนับถือ หรือ หวังให้คนยกย่อง การทำสิ่งเหล่านี้เป็น สิ่งที่ไม่พอพระทัยพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพระเจ้าไม่มองแค่ภายนอก แต่พระเจ้ามองทะลุ ไปที่จิตใจ พระองค์รู้ว่าผู้ใดทำด้วยใจหรือผู้ใดทำด้วยการโกหก แน่นอนมนุษย์ โกหกมนุษย ์ด้วยกันได้ง่าย แต่มนุษย์โกหกพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตมนุษย์ และพระองค์ เห็นทุกสิ่งในสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำ บำเหน็จจะไม่มีให้แก่คน หลอกลวง แต่จะ มีให้กับผู้ท ี่สัตย์ซื่อเท่านั้น ฉะนั้น เราอย่าทำทานเพื่ออวดมนุษย์แต่เราควรจะทำเพื่ออวดพระเจ้า


2.การอธิษฐาน การอธิษฐานเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียนของเรา อย่างไรก็ตาม การอธิษฐาน ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่เป็นเรื่องที่เราต้องจริงจัง หลายคนอธิษฐานเพื่อ ให้คนอื่นฟังแล้ว ไพเราะ และอวดคนอื่น โดยไม่ได้ออกจากใจจริง ในพระคัมภีร์บอกว่า เขาอธิษฐานอย่างซ้ำซาก คำว่า ”ซ้ำซาก” นี้หมายถึงการอธิษฐานที่ ไม่ออกจากส่วนลึกของ จิตใจจริง ๆ พี่น้องที่รักเราเคยเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า ? ถ้าเราเคยเป็นเช่นนั้น
เราเปลี่ยนได้แล้ว เริ่มต้นใหม่วันนี้ยังไม่สายเกินไป


3.การถือศีลอด (ตัวเอง)การอดอาหารเพื่ออธิษฐานเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตคริสเตียน พระคัมภีร์มีอยู่ครั้งหนึ่ง สาวกถามว่าทำไมขับผีนี้ไม่ออก พระเยซูได้ตรัสว่า ผีนี้เราต้อง อดอาหาร อธิษฐาน ถึงจะขับได้ สดงว่าการอดอาหารอธิษฐานก็เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องเหมือนกัน
ฉะนั้น เราต้องไม่ทำเรื่องสำคัญ ๆ เป็นเรื่องเล่น ๆ เราต้องทำด้วยความ
จริงใจและจริงจัง นี่แหละพระเจ้าจะพอพระทัยอย่างแน่นอน