Custom Search By Google

Search By Google

๒๕๕๑/๐๙/๐๗

พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

http://www.holyofholies.net/

วันนี้ เราก็จะมาเรียนถ้อยคำของพระเจ้าด้วยกัน

ให้พี่น้องเปิดไปที่พระธรรมโรม 5:1-11

“เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่า เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ และความหวังใจ มิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า”


ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่า “เหตุฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า” เราจึงมีสันติสุข เขาอธิบายว่าให้เรามีสันติสุขในพระเจ้า ความชอบธรรมที่เราได้รับ ไม่ได้เกิดจากความดีงามของเรา แต่เกิดจากพระคุณพระเจ้า เกิดจากที่พระเยซูคริสต์ได้มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นความชอบธรรมที่ไม่มีใครสามารถทำได้ แต่พระเจ้าทำเพื่อเรา เมื่อเราได้รับความชอบธรรม ถูกประทับตราจากพระเจ้าว่า “นายคนนี้ ก. ข. ค. ง. เป็นผู้ชอบธรรมของเรา ทูตสวรรค์จำไว้นะ หน้านี้ ตายเมื่อไหร่ ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เอารูปมาเทียบ ใช่คนนี้จริงๆ ก็เปิดประตูสวรรค์รับเข้าไปได้เลย” นึกภาพออกไหมคะ แต่ถ้าไม่ได้รับการประทับตรา เราขึ้นสวรรค์ ทูตสวรรค์มองแล้ว คนนี้หน้าไม่คุ้นเคย ก็จะถูกเชิญไปอยู่ที่อื่น ที่อื่นก็คือในนรกนิรันดร์กาล ฉะนั้น เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ ที่พระเจ้าประทานความชอบธรรม ให้กับพวกเราทั้งหลาย จึงทำให้พวกเรามีสันติสุขในพระเจ้า ในขณะที่เราอยู่ในโลกใบนี้



ในข้อที่ 2 บอกว่า “โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ”

“และเราชื่นชมยินดีในความวางใจ” หมายถึงให้เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่เราไว้วางใจ เราไว้วางใจอะไร ก็วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำเพื่อเรา ทำให้เราได้มีโอกาส เข้าไปอยู่ใต้ร่มพระคุณของพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่ใครอยู่ดีๆ นาย ก. นาย ข. สามารถที่จะไปอ้างสิทธิ์ในการเป็นลูกของพระเจ้าได้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่า เราไม่ได้เลือกพระเจ้า แต่พระเจ้าเป็นผู้เลือกเรา ถ้าถามว่า “ทำไม” ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า “ทำไมพระเจ้าเลือกคนนี้ ไม่เลือกคนนั้น” “ทำไมพระเจ้าเลือกอีกคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนนิสัยแย่มาก ส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งนิสัยดีมาก พระองค์ควรจะเลือกมากว่า” แต่พระเจ้าบอกว่า “ฉันไม่เอา” นึกออกไหมคะ

ดังนั้นความรอดซึ่งเราได้รับเป็นพระคุณ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้ปกครองพิชัยบอกว่า เราจะรู้คุณค่าของความรอด ต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว หรือเหมือนเรามีสัญชาติไทย แล้วเราไม่ได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยินดี ตราบเท่าที่วันหนึ่งเราไม่มีสัญชาติไทย แล้วเราอยากได้ เราจะรู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากที่สุด ดังนั้นขอพระคุณพระเจ้าเมตตา ช่วยเหลือพวกเราทุกๆ คน ซึ่งเป็นคริสเตียน ซึ่งได้รับความรอดผ่านทางพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์แล้ว ให้เราเห็นคุณค่าของความรอด ถ้าเราเห็นคุณค่ามากเท่าไหร่ ชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงได้มากเท่านั้น ถ้าเราเห็นคุณค่าของความรัก ที่พระเจ้าให้กับเรามากเท่าไหร่ จะทำให้เรายอมจำนนกับพระเจ้ามากเท่านั้น เต็มอกเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์ เต็มอกเต็มใจที่จะทำตาม ที่พระเจ้าสั่งได้มากเท่านั้น



ในข้อที่ 3 บอกว่า “ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน”
คำว่า “เราชื่นชมยินดี” หมายถึง “ให้เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก” การที่เราสามารถชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อความทุกข์ผ่านเข้ามา ไม่มีใครสามารถที่จะยิ้มได้ หัวเราะได้ จริงไหมคะ ถ้าโดยตัวเราเอง คนอื่นต้องนึกว่า “คนนี้บ้าแน่ๆ เลย อยู่ดีๆ พอเกิดปัญหาขึ้นมา หัวเราะเลย” ไม่มีใครสามารถทำได้ แต่โดยพระคุณพระเจ้า เรารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา แล้วเรารู้แล้วว่า พระเจ้าองค์นี้ เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นพระเจ้าผู้ทรงสามารถ พาเราผ่านพ้นจากความทุกข์ยากอันนี้ได้ เราจึงเกิดความชื่นชมยินดีข้างใน เขาเรียกว่าสันติสุข เพราะว่าเมื่อผ่านความทุกข์ยากตรงนี้ไปได้แล้ว แปลว่าพระเจ้าพิสูจน์แล้วว่าเราสอบผ่านไปหนึ่งขั้นตอน แต่ไม่ได้แปลว่าจบตรงนั้น ก็จะมีการทดสอบเข้ามาอีก ในชีวิตของเราไปเรื่อยๆ จนกว่าพระองค์เห็นว่าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แปลว่าอายุขัยในโลกนี้จบแล้ว พระเจ้าบอกว่าผ่านฉลุยเลย ประทับตราลงไป จบ ไปอยู่กับพระองค์ได้เลย ไม่ต้องมาผ่านข้อทดสอบอีกต่อไป แล้วเราเชื่อว่าคริสเตียนทุกคนก็คงรอวันนั้นอยู่ วันที่พระเจ้าบอกว่าสอบผ่าน จบกระบวนการในชีวิตของเรา


ในข้อที่ 4 บอกว่า “และความอดทนทำให้เห็น ว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้น ทำให้เกิดมีความหวังใจ”
ผ่านการทดสอบ ผ่านความอดทนตรงนี้ แล้วพระเจ้าบอกว่า “โอเค คนนี้ใช้ได้” พระเจ้าก็จะหยิบจับเรามาใช้สอยงานอะไรก็ไม่รู้ แล้วแต่พระองค์ เมื่อเราได้รับการพิสูจน์จากพระเจ้าแล้ว พระเจ้าพยักหน้า “โอเค ใช้ได้ ผ่าน” ทำให้เรามีความหวังใจขึ้นมา แล้วความหวังใจตรงนี้ในข้อที่ 5 บอกว่า “ไม่ทำให้เราเกิดความเสียใจ เพราะผิดหวัง” ความหวังใจตรงนี้ไม่ได้หวังใจว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า ผ่านข้อทดสอบแล้ว พระเจ้าจะให้เรามีเงินเยอะ หรืออวยพรเราให้เรามีสุขภาพแข็งแรง หรืออวยพรให้ต่อแต่นี้ไป เราไม่ต้องเจอความทุกข์อีกเลย ไม่ใช่ ถ้าเรามีความหวังใจแบบนี้ปุ๊บ ผิดหวังแน่นอน แต่ความหวังใจในพระเจ้าคือ ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พระเจ้าจะพาเราผ่าน และอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะพาเราผ่านวิกฤตกว่านี้อีก แต่เรายังมีความหวังใจว่า พระเจ้าเรายิ่งใหญ่สูงสุด เพียงพอที่จะพาเราผ่านไปอีกขั้นตอนหนึ่ง พอเป็นอย่างนี้ก็จะไม่ทำให้เราเสียใจ เพราะผิดหวัง


พอเรามีท่าทีแบบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็ไม่ให้ เพราะพระเจ้ารักเรา

พี่น้องเคยเห็นคนคาดหวังอะไรเยอะๆ แล้วมันไม่ได้อย่างที่เราหวัง เราก็คอตกเลย เสียใจ เหมือนเราคาดหวังว่า “ถ้าเราทำอย่างนี้ๆ นะ พอผ่านปุ๊บ พระเจ้าต้องอวยพร หรือต้องตอบคำอธิษฐานของเรา อย่างที่เราทูลขอ 1, 2, 3, 4, 5 แน่นอนเลย ชัวร์มาก” เรามั่นใจในตัวเอง มากกว่ามั่นใจในพระเจ้า พอเรามีท่าทีแบบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็ไม่ให้ เพราะพระเจ้ารักเรา ถ้าพระเจ้าให้เราปุ๊บ เราก็ได้ใจ คิดว่า “คราวหน้า ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาฉันต้องทำอย่างนี้ 1, 2, 3 ปุ๊บ ฉันจะได้อย่างนี้” ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราคาดหวังผิด เราก็ผิดหวัง พอคาดหวังไม่ผิด ไม่ว่าจะมีสถานการณ์อะไร พระเจ้าพาเราผ่านแน่นอน ถึงแม้ว่าคำตอบนั้นจะไม่ค่อยถูกใจเราเท่าไหร่ แต่เรารู้ว่าต่อให้ไม่ถูกใจ แต่ให้ถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า เราเอเมนเลย ยอมจำนนต่อพระเจ้า เราก็จะไม่เสียใจ ไม่เศร้า ไม่ตีโพยตีพาย โวยวายพระเจ้า “ทำไมพระเจ้าไม่ทำอย่างนี้ ไหนพระสัญญาบอกอย่างนี้” ดูจากบรรพบุรุษของเรา อับราฮัม พระเจ้าสัญญาว่า จะให้มีบุตรตอนที่อายุของเขา 75 แต่ให้จริงๆ ตอนอายุ 100 เรายังไม่คอยนานถึงขนาดนั้น 25 ปี พวกเรายังเชื่อไม่ถึง ฉะนั้นคอยเถิด พระเจ้าสัญญา พระเจ้าทำแน่นอน


ชีวิตของบางคนอาจจะไม่ได้สมหวัง ในด้านของวัตถุสิ่งของเลย แต่อย่าเสียใจ เพราะพระเจ้าเห็นว่า “อย่างนี้ดีแล้ว ถ้าให้ได้พบความสำเร็จในเรื่องวัตถุสิ่งของปุ๊บ นายคนนี้ นางคนนี้ นางสาวคนนี้จะต้องทิ้งฉันแน่ๆ เลย” เป็นอย่างนั้นปุ๊บ พระเจ้าก็จะหยุดไว้ ให้แค่นี้พอ เลี้ยงดูเราดุจเลี้ยงแกะ เราจะไม่ขัดสน ทุกวัน ถ้าขาดอะไรพระเจ้าก็เติมให้ จำเป็นอะไร พระเจ้าก็ให้มา

นี่คือการเลี้ยงดูของพระเจ้า แต่บางคนพระเจ้าเห็นว่าคนนี้ ถ้าอวยพรเขาแล้ว เขาสามารถที่จะใช้พระพรให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะอวยพรอย่างไร คนนี้ก็ไม่ทิ้งพระเจ้าแน่นอน พระเจ้าก็จะอวยพร แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน หรือความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พี่น้องไปสังเกตดู ถ้าเราเป็นของพระเจ้าจริงๆ พอเกิดความทุกข์ ทำให้เรารักพระเจ้ามากขึ้น เกิดความทุกข์ ทำให้เราเข้ามาแสวงหาพระเจ้ามากขึ้น ทำให้เราติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น แล้วพอพระเจ้าพาเราผ่านความทุกข์ตรงนั้น เรารู้ว่าพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระเจ้าของเราทรงพระชนม์อยู่จริงๆ พระเจ้าสามารถช่วยเราจริงๆ นั่นคือเหตุผล ที่ทำไมพระเจ้าต้องพาเราผ่านสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด


ในข้อที่ 6 บอกว่า

“ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาป ในเวลาที่เหมาะสม”


ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อเรา

เราทุกคนเป็นคนบาป ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าใครจะรู้สึกว่า “ฉันเป็นคนดีมากเลย ฉันทำดีเลิศตลอดเวลา” ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี เพราะว่าเรามีเชื้อบาปอยู่ บรรพบุรุษของเราได้ทำบาป เชื้อมันเหมือนสายเลือด ส่งต่อมาในด้านเนื้อหนัง ถึงแม้เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้รับความรอดฝ่ายจิตวิญญาณแล้วก็ตาม จิตวิญญาณเราสะอาด แต่เนื้อหนังเรายังอยู่ในความบาปอยู่ หลายครั้งเราคิดชั่ว หลายครั้งเราทำชั่ว หลายครั้งเราดื้อต่อพระเจ้า กบฎต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าบอกว่าขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อเรา ถ้าเราเป็นคนดี พระเจ้ามาตายเพื่อเรา เราก็รู้สึกว่าสมควร “พระเยซูสมควรมาตายเพื่อฉัน เพราะฉันเป็นคนดี” เรารู้สึกเย่อหยิ่ง เราเป็นคนดีมาก ถ้าพระเจ้าไม่มาตายแทนเรา พระเจ้าผิดนะ ซึ่งมันไม่ใช่ เราเป็นคนบาป พระเจ้าเมตตาเรามากๆ ในขณะที่ชีวิตเราไม่ได้เรื่องเลย แต่พระเจ้ามาตายแทนเราบนไม้กางเขน



และในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกว่าไม่ค่อยมีใครตายเพราะคนตรง “คนตรง” คนจะไม่ค่อยชอบ หลายครั้งผู้รับใช้เทศนา อาจจะมีคำพูดที่ไม่ค่อยถูกหูพวกเรา แต่เชื่อมั่นว่าเป็นพระคุณของพระเจ้า คำพูดที่บาดหูพี่น้องจะเป็นยาที่ดีของพระเจ้า ที่จะเยียวยาพวกเรา ทำให้พวกเราเข้มแข็งขึ้น ดังนั้นคนตรง คนจะไม่ค่อยชอบเท่าไร อาจจะไม่ถูกใจ แต่บางคนจะตายเพื่อคนดี คนดีก็มีคนอยากตายแทน แต่จะมีกี่คนที่จะตายแทนคนอื่นได้ ต่อให้ดีแค่ไหนก็ใจมนุษย์ “คนนี้ดี ฉันยอมตายแทนเขาเลย” แต่พอถึงเวลาจะต้องเลือก ระหว่างเขาตายหรือเราตาย เราอาจจะบอกว่า “พระเจ้าให้เขาตายดีกว่า” นี่มนุษย์เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาบอกว่าคนนี้ทำไมถึงกลับกลอก มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เนื้อหนังแบบคนบาป เราย่อมที่จะรักชีวิตของเรามากกว่าชีวิตของคนอื่น แม้แต่ลูกที่เราบอกว่า “ลูกคนนี้รักมากเลย ถ้าเกิดเขาเป็นอะไร พระเจ้าเอาชีวิตเราไปดีกว่า” แต่พอถึงวาระจริงๆ เราอาจจะบอกพระเจ้าว่า “พระเจ้าเปลี่ยนใจแล้ว เอาเขาไปก็แล้วกัน” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าแต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงตายแทนคนบาป ทรงสำแดงความรักถึงที่สุดของที่สุด เพื่อเรา


มีนักเทศน์หลายคนเล่าให้ฟังว่ามีคนมาถามว่า “พระเจ้า พระเยซูคริสต์รักเราแค่ไหน” เราเคยถามพระเจ้าไหมว่าพระเจ้ารักเราแค่ไหน เมื่อเราเจอปัญหา เราเคยสงสัยความรักของพระเจ้าไหมว่า พระเยซูคริสต์ยังคงรักเราอยู่หรือเปล่า ถ้าพระเยซูให้คำตอบกับเราในวันนี้ ที่หูเนื้อหนังของเราสามารถได้ยิน พระองค์ก็คงจะกางมือออก แล้วบอกว่าพระองค์รักเราได้แค่นี้ ก็คือรักขนาดที่พระองค์ยอมถูกตรึงที่ไม้กางเขนเพื่อเรา ความรักแค่นี้เพียงพอไหม สำหรับชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะทุกข์ยากแค่ไหน ทุกครั้งที่เราเจอความทุกข์ยาก ให้เรานึกภาพนี้ไว้ ภาพที่พระเยซูคริสต์เอามือกางออก แล้วนึกถึงภาพตะปู ที่ตอกลงไปที่พระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสองข้าง และที่เท้าของพระองค์ แล้วพระเยซูบอกว่ารักได้แค่นี้ รักมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แค่ชีวิตให้กับเรา ตรงนี้แหละคือพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับพวกเรา



ข้อที่ 9

“เพราะเหตุนั้น เมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์”



พ้นโทษ พ้นการพิพากษาของพระเจ้า พระบิดา โดยผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่ทรงยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขน และได้รับเอาความผิดความบาปของพวกเราทุกๆ คนไว้ที่พระองค์เอง
ในพระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตของพระองค์ทุกหยดที่หลั่งออกมาได้ชำระล้างความผิดของเราเรียบร้อยไปแล้ว โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ได้ทำให้พวกเราหายดี คือวิญญาณจิตของเราได้รับการรักษาให้หายดี และกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ไม่มีใครสามารถทำให้มนุษย์คืนดีกับพระเจ้าได้ นอกจากพระเยซูคริสต์เท่านั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าบอกว่าเราจะต้องตาย จำได้ไหมคะ ที่พระเจ้าบอกกับอาดัม-เอวาว่า “อย่าไปกินผลไม้ต้นนี้นะ ถ้าไปกินเมื่อไหร่ เจ้าจะตาย” ทันทีที่มนุษย์ไม่เชื่อพระเจ้า วิญญาณจิตของมนุษย์ได้ตายจากพระเจ้าไป ไม่ได้หมายความว่าร่างกายเราตายเฉยๆ แต่วิญญาณเราไม่สามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้ เราเดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้ามาตลอดเวลา และเราพยายามแสวงหาพระเจ้าทุกทาง แต่เราหาไม่เจอ เราไม่สามารถ ด้วยกำลังของเราเอง นั่นแหละคือเหตุผล ที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อให้เราได้คืนดีกับพระเจ้าพระบิดา


แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมพระเจ้าทรงเลือกบางคน ไม่เลือกบางคน อันนั้นไม่ต้องไปถกกัน ไม่ต้องไปรู้สึกว่าเราดีกว่าคนอื่น พระเจ้าจึงเลือกเรา ไม่ใช่ เราอาจจะแย่กว่าคนอื่นตั้งเยอะแยะ แต่พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าได้เลือกเราตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลกใบนี้ พระเจ้าได้หมายตาพวกเราไว้แล้ว ต่อให้เราไปในวิถีทางใดก็ตาม ถึงเวลากำหนดพระเจ้าก็ทรงเปิดตาใจเรา ให้เรามารู้จักกับพระนามของพระองค์ โดยที่บางคนตอนนี้ถ้าถามว่า “มาเชื่อพระเจ้าเพราะอะไร” ตอบไม่ถูก ถ้าถามดิฉัน ดิฉันก็ตอบไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็เปิดตาใจให้มาเชื่อพระองค์

ในข้อที่ 11 บอกว่า “มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า” มีความชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ

ในข้อที่ 12 บอกเราถึงต้นตอของความบาปว่ามาจากที่ใด และต้นตอของความรอดมาจากที่ใด

โรม 5:12-15

“เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป ความจริงบาปได้มีอยู่ในโลกแล้วก่อนมีธรรมบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่ถือว่ามีบาป อย่างไรก็ตาม ความตายก็ได้ครอบงำตลอดมา ตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม ผู้ซึ่งเป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง แต่ของประทานแห่งพระคุณนั้นหาเป็นเช่นความละเมิดนั้นไม่ เพราะว่าถ้าคนเป็นอันมากต้องตายเพราะการละเมิดของคนๆเดียว มากยิ่งกว่านั้น พระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณของพระองค์ผู้เดียวนั้น คือพระเยซูคริสต์ ก็มีบริบูรณ์แก่คนเป็นอันมาก”


ในพระคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกกับพวกเราว่า ถ้าคนๆ หนึ่งที่ทำบาปบนโลกใบนี้ คือบรรพบุรุษของเราที่ชื่ออาดัม เป็นต้นเหตุและต้นตอ ที่ทำให้ความบาปไหลมาจนถึงมนุษย์ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้า ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทำให้เราเห็นว่า ต้นตอที่สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากความบาปได้ ก็คือตามกฎที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ ถ้าใครทำบาป ผู้นั้นต้องตาย ความบาปต้องชดใช้ด้วยความตายเท่านั้น เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระเมตตา และความสัตย์ธรรมของพระองค์ ถ้าเรารู้จักกับพระเจ้าที่เอาแต่ใจ ตั้งกฎแล้ววันดีคืนดีพระเจ้าก็บอกไม่เอาแล้ว เปลี่ยนกฎดีกว่า เห็นคนนี้น่ารัก ทำบาปก็ไม่ต้องตายแล้วกัน พี่น้องลองคิดดู ถ้าเรามีพระเจ้าแบบนี้ เราต้องคอยผวาตลอดเวลาไหม คอยแอบมองว่าวันนี้พระเจ้าอารมณ์ดีไหม ถ้าพระเจ้าอารมณ์ดี เราอาจจะได้รับพระพรจากพระเจ้า หรือพรุ่งนี้พระเจ้าอารมณ์ไม่ดี เราทำดี พระเจ้ายังไม่โปรด พระเจ้าก็ตีเรา ไม่ใช่นะคะ ดิฉันยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า เรามีพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ เป็นพระเจ้าผู้มีระบบระเบียบ เป็นพระเจ้าผู้ตรัสแล้วไม่คืนคำ ตรัสอย่างไร เป็นอย่างนั้น


ฉะนั้นพระสัญญาของพระเจ้า สามารถที่จะเชื่อถือได้ เมื่อเรามาอยู่ในพระเจ้า เราต้องมั่นใจขนาดนี้ เราถึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ยิ่งชีวิตปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก หรือเหตุการณ์มากมายที่เข้ามาในชีวิตของเรา แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราไม่สามารถมั่นใจพระเจ้าองค์นี้ได้ ว่าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้าสามารถช่วยเราได้ เราแย่เลย คนที่เป็นคริสเตียนก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ไม่รู้ว่าสามารถที่จะเชื่ออะไรได้ แล้วไม่รู้จะดำรงชีวิตอย่างไรที่จะผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ ขอพระเจ้าเมตตา ให้ถ้อยคำตรงนี้ได้เปิดเผยสำแดง ให้พวกเราได้เห็นพระคุณของพระองค์


โรม 5:16-18

“และของประทานนั้นก็ไม่เหมือนกับผล ซึ่งเกิดจากบาปของคนนั้นคนเดียว เพราะว่าการพิพากษาที่เกิดขึ้น เนื่องจากการละเมิดเพียงครั้งเดียวนั้น ได้นำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานจากพระเจ้าภายหลังการละเมิดหลายครั้งนั้น นำไปสู่ความชอบธรรม เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้น คนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และรับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น”


หมายความว่า พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาตายแล้วตายอีกเพื่อเรา พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว จบเลย พระสัญญาถูกประทับตราไว้แล้ว ใครก็ตามที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ แล้วเมื่อถึงเวลากำหนด เขาได้เข้ามาหาพระเจ้า พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย คนนั้นจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เป็นผู้ชอบธรรมผ่านทางพระบุตรของพระองค์ เมื่อพระเจ้ามองลงมาที่ชีวิตของเรา พระเจ้าจะมองผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่ได้ตายแทนเราบนไม้กางเขน

สิ่งที่พระเจ้ามองคือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ ได้ทำเพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว ความบาปผิดของเราได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว เราในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราไม่ต้องคอยกังวลว่าถ้าตายแล้ว เราต้องไปชดใช้หนี้กรรมอีกกี่ชาติ ชาติหน้าเราต้องเกิดเป็นอะไร ไม่ต้องแล้วนะคะ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าคริสเตียนเกิด 2 ครั้ง ตายครั้งเดียว เกิดครั้งที่ 1 ฝ่ายเนื้อหนัง เกิดครั้งที่ 2 ฝ่ายวิญญาณ และตายก็คือลมหายใจออกจากร่าง พี่น้องไม่ต้องไปคอยหวังชาติหน้า ทำดีนะชาติหน้าเราอาจจะได้ดีกว่านี้ ไม่มีนะคะ ถ้าท่านเป็นของพระเจ้า เมื่อตายจากไป วิญญาณเราจะไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถาน นี่คือหลักประกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องมาฟังถ้อยคำของพระเจ้าบ่อยๆ นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องมาอ่านถ้อยคำของพระเจ้าตลอดเวลา เพื่อเราจะไม่ถูกหลอก

ในพระคัมภีร์เดิมบอกว่า “ประชากรของเราถูกขโมย เพราะขาดความรู้” ขโมยเอาสิ่งดีๆ ออกจากชีวิตของเราไป ขโมยเอาความคิดดีๆ ออกไปจากชีวิตของเรา ขโมยสันติสุข ความชื่นชมยินดีที่อยู่ในชีวิตของเราออกไป เพราะเราขาดความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้า เรื่องที่พระเยซูคริสต์ได้มาทำเพื่อเราบนไม้กางเขน


ไม่สายเกินไปนะคะพี่น้อง ทุกวันให้มีเวลาอยู่กับพระเจ้า

ให้ถ้อยคำของพระองค์ในวันนี้ เป็นกำลังสำหรับพวกเราทุกๆ คนที่กำลังประสบกับความทุกข์ยากลำบาก อึดใจเดียวพี่น้อง เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พระเจ้าจะพาเรากลับบ้าน ให้เรามีชีวิตอยู่เหมือนดั่งว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราสามารถจะอยู่ในโลกใบนี้ ถ้าวันนี้ พระเจ้าบอกว่าจบ ก็คือเราสามารถที่จะบอกกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าลูกพร้อมแล้ว ที่จะไปอยู่กับพระองค์” และเรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ พี่น้องก็สามารถทำได้ ต้องฝึกฝน ต้องพัฒนาทุกวัน นับตั้งแต่วันนี้ไป ไม่สายเกินไปนะคะพี่น้อง ทุกวันให้มีเวลาอยู่กับพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน มีเวลาที่จะฟังเสียงพระเจ้าบ้าง มีเวลาที่จะดำเนินชีวิตแบบอยู่ในลู่ทางของพระเจ้า บอกพระเจ้าทุกวัน ขอพระเจ้าช่วยเหลือเราทุกๆ วัน รักษาย่างเท้าของเรา อย่าให้เราทำบาปกับพระองค์ ถ้าเราทำบาปกับพระองค์ขอพระองค์เปิดตาให้เราเห็นเร็วๆ นึกออกไหมคะ ทำไมต้องเร็ว เพื่อเราจะได้เจ็บตัวน้อยลง ถ้าช้า เราจะเจ็บตัวเยอะ เพื่อว่าเราจะได้กลับใจใหม่ได้เร็ว และพระเจ้าจะสามารถช่วยเหลือเราได้เร็วขึ้น


นี่คือหลักการของการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังอนุญาตให้เราอยู่ เรามาอยู่รวมกัน ในคริสตจักรของพระองค์ เพื่อเราจะได้ช่วยกัน ใครอ่อนกำลัง ก็เสริมกำลังกัน นี่เป็นพระพรสำหรับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระเจ้า ขอพระเจ้าเมตตาให้พวกเราทุกๆ คนเห็นถึงคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา รักษาความรอดไว้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิตของพวกเรา ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: