Custom Search By Google

Search By Google

๒๕๕๑/๐๗/๑๗

ความเชื่อที่นำไปสู่ชัยขนะ


วันนี้ ผมจะขอพูดถึงความเชื่อ โดยเป็นความเชื่อที่นำไปสู่ชัยชนะ นำไปสู่ผลสำเร็จในที่สุด ซึ่งเป็นความเชื่อที่พระองค์ทรงโปรดปราน

คริสเตียนทุกคน เมื่อได้เชื่อแล้ว ก็จะนำไปสู่ความรอดในที่สุด และได้รับความรอดแล้ว

แต่ในชีวิตคริสเตียนประจำวัน เราจะต้องดำเนินด้วยความเชื่อในแต่ละวัน ซึ่งเป็นขบวนการที่สำคัญมากของชีวิตคริสเตียน เพราะการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อนั้น เป็นการรักษาความรอดที่เราได้รับจากพระเจ้า

วันนี้จะขอแบ่งปันพระวจคำจากพระธรรมโยชูวา บทที่ 6

"1 เพราะเหตุคนอิสราเอลเมืองเยรีโคต้อง ถูกปิดไว้ไม่มีคนเข้าออกได้เลย
2 พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า “ดูแน่ะเราได้มอบเมืองเยรีโคไว้ในมือเจ้าแล้ว ทั้งกษัตริย์และทแกล้วทหาร
3 เจ้าทั้งหลายจงเดินขบวนรอบเมือง คือให้บรรดาทหารไปรอบเมืองครั้งหนึ่ง เจ้าจงทำเช่นนี้หกวัน
4 ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือเขาแกะเจ็ดคันนำหน้าหีบ และในวันที่เจ็ดนั้นเจ้าทั้งหลายจงเดินรอบเมืองเจ็ดครั้ง ให้ปุโรหิตเป่าเขาแกะไปด้วย
5 และเมื่อเขาเป่าเขาแกะเป็นเสียงยาว พอเจ้าได้ยินเสียงเขาแกะนั้น ก็ให้ประชาชนทั้งปวงโห่ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง กำแพงเมืองนั้นก็จะพังลงราบ และประชาชนจะขึ้นไป ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตน”
6 ฝ่ายโยชูวาบุตรนูนจึงเรียกปุโรหิตมาสั่งว่า “จงยกหีบพันธสัญญาขึ้นหามไป ให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเจ็ดคันเดิน นำหน้าหีบแห่งพระเจ้า”
7 และท่านสั่งประชาชนว่า “จงออกเดินรอบเมืองนั้น ให้ทหารถืออาวุธเดินข้างหน้าหีบแห่งพระเจ้า”
8 เมื่อโยชูวาบัญชาแก่ประชาชนแล้ว ปุโรหิตเจ็ดคนที่ถือเขาแกะเจ็ดคันต่อ พระพักตร์พระเจ้าก็เดินข้างหน้าเป่าเขาแกะไป และมีหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าตามเขามา
9 และทหารถืออาวุธเดินอยู่หน้าปุโรหิตผู้เป่าเขาแกะ และกองระวังหลังก็เดินตามหีบฝ่ายเขาแกะนั้นก็เป่า อยู่เรื่อยไป
10 แต่โยชูวาบัญชาประชาชนว่า “ท่านอย่าโห่ร้อง อย่าให้ใครได้ยินเสียงของท่าน อย่าให้ถ้อยคำหลุดออกจากปากของท่านทั้งหลายเลย จนกว่าจะถึงวันที่ข้าพเจ้าบอกให้ท่านโห่ร้อง ท่านจึงโห่ร้องกัน”
11 ท่านได้กระทำให้หีบแห่งพระเจ้าเวียนรอบเมืองดังนี้แหละ คือเวียนรอบหนึ่งเที่ยวเขาก็กลับเข้าค่าย นอนค้างคืนอยู่ในค่ายนั้น
12 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าและปุโรหิตก็ยกหีบแห่งพระเจ้าขึ้นหาม
13 และปุโรหิตเจ็ดคนถือเขาแกะเจ็ดคันเดิน หน้าหีบแห่งพระเจ้าเป่าเขาแกะเรื่อยไป และทหารถืออาวุธก็เดินอยู่ข้างหน้าเขา และกองระวังหลังก็เดินอยู่ข้างหลังหีบแห่งพระเจ้า ฝ่ายเขาแกะก็เป่าเรื่อยไป
14 และในวันที่สองเขาก็ เดินรอบเมืองนั้นครั้งหนึ่งแล้วกลับเข้าค่ายอีก เขาทำเช่นนี้อยู่หกวัน
15 ในวันที่เจ็ด เขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เดินกระบวนรอบเมืองอย่างเคยเจ็ดครั้ง เฉพาะวันเดียวนั้นเขาได้เดินกระบวนรอบเมืองเจ็ดครั้ง
16 ในครั้งที่เจ็ด เมื่อปุโรหิตเป่าเขาแกะ โยชูวาบอกแก่ประชาชนว่า “จงโห่ร้องขึ้นเถิด เพราะพระเจ้าทรงมอบเมืองให้แก่ท่านแล้ว
17 เมืองนั้นและสารพัดในเมืองนั้นเป็นของที่ต้อง ทำลายถวายแด่พระเจ้า เว้นแต่ราหับหญิงโสเภณีกับคนทั้งหลายที่อยู่ใน เรือนของนางจะรอดชีวิต เพราะว่านางได้ซ่อนผู้สื่อสารที่พวกเราใช้ไป
18 แต่ส่วนท่านทั้งหลายจงห่างไกลจากของ ที่ต้องทำลายถวายนั้น เกรงว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้ถวายสิ่งเหล่านั้นแล้ว ท่านจะเก็บสิ่งที่ถวายแล้วนั้นไว้บ้าง ก็จะทำให้ค่ายของคนอิสราเอลเป็นสิ่งที่ต้องทำลาย และนำความทุกข์ลำบากมาสู่
19 แต่บรรดาเงินและทอง และเครื่องใช้ที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และเหล็กเป็นของถวายแด่พระเจ้า ให้นำเข้าไปไว้ในคลังของพระเจ้า”
20 เหตุฉะนั้นประชาชนก็โห่ร้อง และแตรก็เป่า พอประชาชนได้ยินเสียงเขาแกะ เขาก็โห่ร้องดัง และกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึงขึ้นไปในเมือง ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น" (เยรีโค 6:1-20)

ความเชื่อ เป็นเรื่องใหญ่มาก สำหรับคนที่ได้มารู้จักพระเจ้า ความเชื่อเป็นตัวกำหนดอนาคตของการดำเนินชีวิตของเราตลอดเวลา และพระเจ้ามักจะท้าทายเราเสมอ ให้เรามีความเชื่อในพระองค์

หลาย ๆ คนที่ออกมาเป็นพยาน นี่เป็นสิ่งที่น่ายกย่องมาก เพราะเป็นการยืนยันของคนเหล่านั้น ถึงชีวิตที่มีความเชื่อในพระองค์

หนังสือโยชูวา พูดถึงความเชื่อของชาวอิสราเอลที่มีต่อพระเจ้า เมื่อชนชาติอิสราเอลรับพระบัญญัติของพระเจ้าในการดำเนินชีวิต และพวกเขาได้รับการสัญญาจากพระเจ้าว่า พระองค์จะทรงนำพวกเขากลับไปสู่แคว้นคานาอัน แต่ปัญหาของอิสราเอล คือ การดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเรา บางครั้งมีอุปสรรค ไม่ง่ายสักเท่าไหร่ และอิสราเอลในตอนนี้ก็เช่นกัน พวกเขาข้ามเข้าไป กำลังจะได้แผ่นดินแห่งพันธสัญญาแล้ว แต่มีสิ่งสิ่งหนึ่งที่ขวางทางของเขา ก็คือ เมืองเยรีโค ซึ่งเมืองเยรีโคนี้ ทำให้ฝันของชาวอิสราเอลสลาย ทำให้เขาหมดหวัง สิ้นหวัง และมองไม่เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ตอนนี้ บอกว่า เมื่ออิสราเอลเจอเมืองเยรีโค สิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสแก่พวกเขา ก็คือ "ดูแน่ะเราได้มอบเมืองเยรีโคไว้ในมือเจ้าแล้ว" (ข้อที่ 2) ซึ่งพระดำรัสในตอนนี้ นำให้เราเห็นว่า พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงอยู่เหนือปัญหาต่าง ๆ ของพวกเขา เพื่อให้อิสราเอลมีใจกล้า ที่จะเผชิญหน้ากับเมืองเยรีโค หนุนใจให้อิสราเอลไม่ต้องกลัว และสิ่งที่ต้องทำ ก็คือ เชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้า ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะช่วยกู้ชีวิตเราให้พ้นจากอุปสรรคต่าง ๆ

"เหตุฉะนั้นประชาชนก็โห่ร้อง และแตรก็เป่า พอประชาชนได้ยินเสียงเขาแกะ เขาก็โห่ร้องดัง และกำแพงก็พังลงราบ" (โยชูวา 6:20)

แต่การที่จะได้เมืองเยรีโคนี้ เขาจะต้องผ่านการทดสอบแห่งความเชื่อ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเขาได้เชื่อฟังตามพระดำรัสของพระเจ้าหรือไม่ เพียงแค่เดินรอบเมืองเยรีโค เพียงแค่กระทำตามนี้ ก็จะได้เมืองเยรีโคในที่สุด และจากพระธรรมได้บอกชัดเจนว่า พวกอิสราเอลได้เชื่อฟังพระเจ้า และได้เมืองเยรีโคในที่สุด

หลายครั้ง การดำเนินชีวิตคริสเตียนของพวกเรา ก็ได้เจออุปสรรค ดังเช่นเมืองเยรีโคบ่อย ๆ บางคนอาจจะเกิดข้อสงสัยต่าง ๆ มากมาย แต่จะขอหนุนใจว่า ต่อให้จะมีเยรีโคกี่แห่ง เราก็มีวิธีที่สามารถผ่านมันไปได้ เพราะว่าพระเจ้าของเรา ก็คือพระเจ้าองค์เดียวกับพระคัมภีร์ตอนนี้ พระองค์ทรงรักเรา และทรงยิ่งใหญ่มาก จะทรงสามารถผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพียงแค่เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เพื่อผ่านพ้นจากการทดสอบแห่งความเชื่อเหล่านี้ไปได้

บางครั้ง เยรีโคก็เกิดขึ้นในชีวิตพวกเรา เกิดขึ้นเพื่อให้เราได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

หลายครั้งที่เราทำงานยุ่ง ทำการรับใช้มากมาย จนไม่มีเวลาที่จะอธิษฐาน ไม่มีเวลาที่อ่านพระคัมภีร์ แล้วพระเจ้าทรงส่ง "เยรีโค" ขึ้นมาในชีวิตของเรา เพื่อให้เราได้อธิษฐาน เข้าเฝ้าพระองค์ เพื่อเป็นการสอนเรา

แต่บางครั้งที่พระเจ้าทรงตรัสกับเรา เราอาจจะรู้สึกว่าเกินความจริง และเราอาจจะรู้สึกขำ ดังเช่นที่นางซาราห์รู้สึกขำ ตอนที่พระเจ้าทรงตรัสแก่เขาว่า เขาจะสามารถคลอดบุตรได้ แต่นี่แหละ จะเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เราใช้ความเชื่อ

คนที่ติดคุกนั้น มีความหวังของพวกเขาก็คือ การอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นนักโทษทุกคนจะมีความหวัง และเป็นความฝันที่เป็นความจริง พวกเขาจะรอคอยวันที่ 5 ธันวาคม ระหว่างที่เขาอยู่ในคุก จะมีบททดสอบเช่นเดียวกัน เพื่อจะทดสอบว่าเขาจะสามารถรับอภัยโทษได้หรือไม่ ทุก ๆ วันเขาต้องฝึกฝนชีวิต และพยายามทำตัวให้ดีที่สุด เพราะนักโทษที่อยู่ในเกณฑ์ เยี่ยม และยอดเยี่ยม จึงจะมีโอกาสได้รับอภัยโทษในที่สุด

พี่สาวของผมคนหนึ่ง เป็นโรคไตเสื่อม ซึ่งจำเป็นต้องฟอกไต ซึ่งเจ็บปวดมาก ผมในฐานที่เป็นคริสเตียน จึงบอกเขาว่า จะอธิษฐานให้ เพราะผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยได้ สามีของเขาก็หัวเราะ ว่าคำอธิษฐานนั้นจะช่วยได้อย่างไร ผมก็ได้อธิษฐานท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง วันต่อมา ก็ได้โทรไปถามเขาอีกที เขาบอกว่า ดีมาก ไม่เจ็บเลย ขอบคุณพระเจ้า

แม้ว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสให้เราทำ อาจจะเป็นสิ่งที่คนรอบข้างนั้นดูแล้วหัวเราะ แต่ขอให้ชีวิตคริสเตียนของเราจะเป็นชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นในพระเจ้าจริง ๆ แล้วในที่สุด พระเจ้าจะทรงนำให้เรามีชัยได้ เมื่อไหร่ที่เราใช้ความเชื่อ พระเจ้าจะทรงใช้ความเชื่อของเรา เพื่อให้เราและคนรอบข้างที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในที่สุด



ศจ. สุนทร สุนทรธาราวงศ์

คำแบ่งปันคณะเพื่อคุณ คริสตจักรสะพานเหลือง เมื่อวันที่ 20/04/2008

เรื่อง ความเชื่อที่นำไปสู่ชัยชนะ

สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

๒๕๕๑/๐๗/๑๓

ความฝันนั้นสำคัญไฉน ?

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง ความฝันนั้นสำคัญไฉน ?
เทศนาโดย อ. ดาวิด นิวตัน
วันที่ 7 สิงหาคม 05

คำนำ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ ท่านรู้หรือยังว่าพระองค์อยู่ใกล้ คอยช่วยเหลือท่าน
อยู่เสมอ ไม่ว่าท่านเป็นใคร ทำอะไร และเป็นเช่นไร ? พี่น้องที่รักท่านเคยมี นิมิต หรือมีความฝันบ้างไหม ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนต้องมีความฝัน มีนิมิตมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะมากหรือน้อย อยู่ที่แต่ล ะบุคคล แต่อย่างไรก็ตามเรารู้สึกตื่นเต้นกับความฝัน
ของเราไหม ?

และเราในฐานะเป็นคริสเตียนเรามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือชีวิต นิรันดร์ อย่าให้ความฝัน ของเราเสียไป แต่ในนี้เราจะเรียนรู้ถึงบุคคลห้าคนที่เป็นตัวอย่าง ที่ดี ให้กับเรา แต่ข้าพเจ้า
จะเน้น แค่สี่คนเท่านั้น ให้เราดูในพระธรรม มาระโก 2:1-12 กล่าวถึง บุคคลสี่คนหาม คนง่อยคนหนึ่ง ไปหาพระเยซู เพื่อพระองค์จะได้รักษาคนง่อย คนนี้ และสุดท้ายก ็ได้รับการ รักษาอย่างที่ตั้งใจไว้ เราจะเรียนรู้พระคำตอนนี้ได้ดังนี้.


ประการที่หนึ่ง “ ความเชื่อ ” ความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราทุกคน และความเชื่อ
คือความ แน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เราจะเห็นว่าสี่คนนี้มีความเชื่อมีความฝัน ที่หนักแน่น นั้นก็ คือ ต้องการให้คนง่อยคนนี้ ได้รับการรักษา ทั้งสี่คนรู้อย่างเดียวว่า มีทางเดียวเท่านั้น ที่คนง่อยจะ ได้รับการรักษา ทางนั้นก็คือ ทางพระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น ฉะนั้น ทั้งสี่คน ก็พยายามทุกวิถีทาง แม้ว่าจะเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย เขาไม่ยอมแพ้ เขามี ความเชื่อว่า พระเยซูต้องรักษา คนนี้ได้อย่างแน่นอน เราเป็นคนเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า ? เรามีความเชื่อที่หนักแน่น มั่นคงเหมือนสี่คนนี้ไหม ? ถ้ายัง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนโดยการมีนิมิต เป้าหมายที่ชัดเจน ก้าวไปด้วยความเชื่อว่า เราทำได้ โดยพระเยซูคริสต์ เป็นเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเอาพระเยซูคริสต์เป็นที่ตั้ง และไม่ยอมแพ้อย่างง่าย ๆ สู้ไปให้ถึงฝันนั้น

ประการที่สอง “ ความกระตือรือร้น ” ทั้งสี่คนเมื่อเชื่อว่าพระเยซูรักษาคนง่อยคนนี้ได้
เขาทั้งสี่ไม่อยู่เฉย ๆ เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะไปหาพระเยซูให้ได้ แม้ว่าเวลานั้นเมื่อ ไปถึงบ้าน ที่พระเยซูประทับอยู่นั้น เข้าไปหาพระองค์ไม่ได้ เพราะคนเต็มไปหมด แต่ เขาทั้งสี่ช่วย กันแก้ปัญหา ด้วยความกระตือรือร้น สุดท้ายเขาก็พาคนง่อยคนนี้ไปถึงพระเยซูจนได้ เราก็เช่นเดียวกันถ้าเรามีนิมิตเป้าหมายที่ชัดเจนและมีความกระตือรือร้น เราต้องไปถึงเป้า หมายอย่างที่เราหวังไว้อย่างแน่นอน ประการที่สาม “ มั่นคงในความฝัน ” ถ้าสี่คนนี้ไม่มั่นคงในความฝันคนง่อยคนนี้ คงไม่ได้รับการรักษา อย่างแน่นอน แต่เขาทั้งสี่มั่นคงในความฝัน ต้องไปให้ได้ ต้อง ไปให้ถึง ทั้งสี่ก็พาคนง่อยคนนี้ไปถึงพระเยซู เราเองก็เช่นกัน เราต้องมั่นคงใน ความฝัน ต้องไปให้ได้และไปให้ถึง แม้จะเจอกับอุปสรรค อย่าพึ่งยอมแพ้ กับ ความฝันนั้น และความฝันสักวันต้องเป็นของเราอย่างแน่นอน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีการประชุมผู้นำคริสตจักรหลายประเทศร่วมกัน เรื่องเกี่ยวกับ
ในละประเทศทำไมไม่ได้รับการฟื้นฟูใหญ่ อเมริกาเหนือขึ้นมากล่าวว่า เราไม่มีงบพอ
ประเทศทางยุโรปได้ขึ้นมา กล่าวว่าเราขาดนิมิตที่ชัดเจน เราขาดความไม่เป็นน้ำหนึ่ง
ประเทศรัสเชียขึ้นมากล่าวว่า เรามีความคิดหลายอย่างแต่ก็ได้แค่คิด เพราะประเทศเรา
เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ แต่มีอีกคนหนึ่งมาจากประเทศไนจีเรียทวีปแอฟริกา คนนี้
เป็นครูสอนเลข ปี1974 คริสตจักรเขามีคนมานมัสการถึง12,000 คน ตั้งคริสตจักรได้
4500 แห่ง กล่าวว่าประเทศเราไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาอยู่ที่ผมเอง ผมกลัวว่าความฝัน
ของผมเล็กกว่าความฝันของพระเจ้า อธิษฐานเผื่อผมด้วย พี่น้องที่รัก เรามีความฝันไหม
เรามีความเชื่อว่าพระเยซูช่วยเราได้ไหม ? เรามีความกระตือรือร้นกับความฝันเราไหม?

สร้างคนสร้างงานให้ดูตรงที่กาลเวลา

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง สร้างคนสร้างงานให้ดูตรงที่กาลเวลา
เทศนาโดย อ.ชูชาติ ยะเกษม
วันที่ 24 กรกฎาคม 05

คำนำ ในการสร้างอะไรก็ตาม ต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านสร้างอาคาร ต่างๆทุกอย่าง ก็ต้องใช้เวลา ถ้าเราดูในพระธรรม ยอห์น 2:4 มีอยู่ครั้งหนึ่งในงานแต่งงาน ที่หมู่บ้านคานา เวลานั้น เหล้าองุ่นของเจ้าภาพหมด นางมารีย์ก็มาขอการช่วยเหลือ จากพระเยซูแต่พระเยซูบอก กับนางว่า เวลาเรายังมาไม่ถึง เช่นเดียวกันในการรับใช้พระเจ้าเราต้องใช้เวลาและดูเวลาด้วย พระธรรม มาระโก 10:46-52 ได้กล่าวถึงชีวิตของ บาธิเมอัส ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ด ีให้กับเราในการ ดำเนินที่เป็นพอพระทัยพระเจ้า วันนี้ข้าพเจ้าจะแบ่งปัน 5 ประการดังนี้


1. ใช้เวลาสอบถามว่าพระเยซูคือใคร? บาธิเมอัสเป็นตาบอด คงไม่เคยเห็นพระเยซูหรอก นอกจากบาธิเมอัสจะสอบถามคนอื่น ว่าพระเยซูนั้นเป็นคนอย่างไร มีอาชีพอะไรและ พระองค์ ทำอะไรได้ แน่นอนคำตอบที่เขา ได้รับก็คือพระเยซูช่วย ได้ทุกอย่างแม้ แต่คนง่อย ก็เดินได้ คนตาบอดก็เห็นคนหูหนวกก็ได้ยิน คนตายก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อบาธิเมอัส ได้ยินเช่นนั้น บาธิเมอัสไม่รอช้าที่จะเรียกหาพระเยซู แม้ว่าฝูงชนมากมายจะห้ามเขาในชีวิตของเราเช่นเดียวกัน เราต้องเสาะแสวงพระเยซู ด้วยใจร้อนรน เพื่อพระองค์จะได้ตอบคำอธิษฐานของเรา อย่ากลัวแม้จะมีอุปสรรค


2.วางแผน บาธิเมอัสมีแผนเพื่อจะพบกับพระเยซู แน่นอนคนตาบอดถ้าไม่บอกทางให้เขา เขาคงไม่มีทางที่จะไปหาพระเยซูได้ บาธิเมอัสต้องถามอยู่ตลอดเวลาว่า เมื่อไหร่พระเยซูจะมา บาธิเมอัสก็ร้องตะโกนอย่างสุดเสียงว่า


“พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์เถิด” ชีวิตคริสเตียนเราก็เช่นกัน เราต้องมีการ วางแผนที่ดีในดำเนินชีวิตที่รับใช้พระเจ้า อย่างไรก็ตามในการวางแผน เราต้องมุ่ง ไปที่พระเยซู คริสต์เจ้าอย่างที่บาธิเมอัสได้มุ่งไปที่พระเยซู อย่าย่อท้อ ให้เราสู้ด้วยใจกล้าหาญ


3.ทิ้งผ้าเก่าๆอย่าเอาสิ่งเก่าๆมาติดตัว เราต้องรับสิ่งใหม่ๆ สิ่งเก่าๆ ให้เราทิ้งไปเสีย เริ่มต้นใหม่ เหมือนอย่างบาธิเมอัส เริ่มต้นชีวิตโดยการทิ้งผ้าห่มเก่าๆ ที่เคยเอา ไปด้วยเวลามีชีวิตท ี่ใหม่โดยการเดินในทางของพระเยซู ในพระคำของ พระเจ้าได้กล่าวว่าอย่าเอาผ้า ใหม่มาปะติด กับผ้าเก่า เช่นเดียวกันชีวิตเก่า ให้เราทิ้งไปเสียแล้วเริ่มต้นชีวิต ใหม่มุ่งเดิน ไปกับพระเยซู คริสต์ของเรา


4.เชื่ออย่างไม่หันกลับ ถ้าเราดูในพระคัมภีร์เดิมมีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าให้โลท ละครอบครัว หนีจากไฟที่จะทำลายเมืองโสโดม โกโมราห์ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า ได้บอก กับทุกคนว่า อย่าหันหลังกลับ แต่ภรรยาของโลทไม่เชื่อฟัง เมื่อภรรยาโลทไม่เชื่อฟังผลตอบแทนก็คือ เขาต้องกลายเป็นเสาเกลือทันที ในชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเดินไปกับพระเจ้าแล้ว อย่าหันหลังกลับไปอีก ไม่อย่างนั้นท่านจะเหมือนภรรยาของโลท ไม่อาจที่จะอย ู่ร่วมกับครอบครัวอีกต่อไป


5.เดินทางตามพระองค์ไป บาธิเมอัสเมื่อได้ยินว่าพระเยซูมา เขาไม่ได้ถามพ่อแม่ก่อน สิ่งที่เขาถามก็คือพระเยซูจะมาเมื่อไหร่? เขาไม่เอาของขวัญแค่ในโลกนี้ แต่เขารอคอย ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือพระเยซูคริสต์ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินและสวรรค์ พี่น้องที่รัก เราอยากได้เฉพาะของขวัญในโลกนี้ซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราว หรือว่าเราอยาก ได้พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง

๒๕๕๑/๐๗/๑๒

ใจเดียวกันและเชื่อเดียวกัน และเราจะมีชัย

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง ใจเดียวกันและเชื่อเดียวกัน และเราจะมีชัย
เทศนาโดย อ.โยชิฮิโกะ ฮิตากะ
วันที่ 17 กรกฎาคม 05

คำนำ

พระธรรม มาระโก 2:1-12 กล่าวว่า ครั้นล่วงไปหลายวัน พระองค์ได้เสด็จ ไปเมืองคาเปอรนา อุมอีก และคนทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์ประทับที่บ้าน ก็มาชุมนุมกันจนเต็มเข้าประตูไม่ได้ มีสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาหาพระองค์ เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์ประทับนั้น

เมื่อเขารื้อเป็นช่องแล้ว เขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ เมื่อพระเยซูทรงเห็น ความเชื่อของ เขาทั้งหลาย พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” แต่พวกธรรมจารย์ บางคนนั่งอยู่ที่นั่น และคิดในใจว่า “ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครยกความ ผิดบาป ได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น” และทันใดนั้นพระเยซูทรงทราบ ในพระทัยว่าเขาคิด ในใจอย่างนี้ จึงพูดว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจ ในโลกที่จะทรงโปรดยกความผิดบาปได้ พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ไป” คนง่อยก็ลุกขึ้น แล้วยกแคร่ ของตนเดินออก ไปต่อหน้าคนทั้งปวง

คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “เราไม่เคย เห็น เช่นนี้เลย” เมืองคาเปอรนาอุมเป็นเมืองที่ พระเยซูเริ่มประกาศพระกิตติคุณครั้งแรก เพราะในหมู บ้าน นาซาเร็ธ ที่พระองค์อยู่ไม่มีใครยอมรับพระองค์ พระธรรมตอนนี้ ได้กล่าวถึง พระองค ์ประทับที่บ้านหลังหนึ่ง ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกราย ละเอียดว่า เป็นบ้าน ของใคร แต่เขาสันนิฐาน กันว่า น่าจะเป็นบ้านของเปโตร เพราะพระเยซูเคยรักษาแม่ยายของ เปโตรที่เมืองคาเปอรนาอุมนี้ พระธรรมตอนนี้สอนเรา คือ


1.มีใจเดียวกัน และความเชื่อเดียวกัน ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่าทั้งสี่คนนี้ มีความเชื่อเดียว กันและมีใจเดียวกัน พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย ให้รอดสามารถ รักษาคน ง่อยที่เขา พามานี้ได้ และมีใจเดียวกันที่จะพาคนง่อยคนนี้ไปหาพระเยซูให้ถึงให้ได้ เพราะว่าแม้ ว่าจะเจอกับอุปสรรคมากมาย เริ่มต้นตั้งแต่ออกจากบ้าน คนง่อยคนนี้อาจจะหนัก ทางอาจจะไกล แถมยังไม่พอเมื่อไปถึงที่พระองค์ประทับแล้วมีแต่คนล้นบ้าน ไม่สามารถที่จะเข้าไปหาพระองค์ แต่พวกเขามีความเชื่อ เขาจึงขึ้นบนดาดฟ้า และรื้อดาดฟ้าหย่อนคนง่อยลงไป ทางที่ขึ้นดาดฟ้า ก็แคบมากแต่เมื่อสี่คนนี้มีใจเดียวกันและมีความเชื่อเดียวกัน อุปสรรคจึงกลาย เป็นอุปกรณ ์ที่คนอื่นเห็นความรักและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทุกคนเห็นก็สรรเสริญพระองค์ เช่นเดียวกับ ในคริสตจักร เราต้องมีใจเดียวกัน และมีความเชื่อเดียวกันด้วย เพื่อพันธกิจการ งานของ คริสตจักรจะ ได้เคลื่อนไปข้างหน้า อย่างรวดเร็วและเคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์


2.ร่วมมือกัน ในพระธรรม ปัญญาจารได้กล่าวว่า สองคนดีกว่าคนเดียว ฉะนั้น เราจำเป็น อย่างยิ่ง ที่ต้องมีความร่วมมือกัน เหมือนอย่างสี่คนนี้ ที่ช่วยกันหาม คนง่อย พวกเขาต่าง ช่วยกันแก้ ปัญหา และหามคนง่อยไปหาพระองค์จนได้ เพราะความร่วมมือกัน เช่นเดียวกับคริสตจักรของเรา ถ้าเราร่วมมือร่วมใจกันคนละไม้ และคนละมือในการรับใช้พระเจ้า ในแต่ละด้านตาม ความสามารถ และของประทานของเราแต่ละคน คริสตจักรเราจะก้าวไปอย่างรวดเร็วแน่นอน


3.ระวัง และฟังให้ดี เราต้องระวังอะไร? เราต้องระวังเรื่องการมีความเชื่อในพระเยซู ในคณะ แบ๊บติสต์ ต่างก็เชื่อว่าความเชื่อเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อเราดูพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นเป็น กรณีพิเศษ เพราะความเชื่อไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นความเชื่อที่เผื่อ คนอื่น สี่คนนี้เชื่อเผื่อ คนง่อยคนนี้ และเพราะความเชื่อของสี่คนนี้ คนง่อยจึงหาย เพราะพระคำตอนนี้ได้กล่าวว่า เมื่อพระเยซูเห็นความเชื่อของพวกเขาทั้งหลาย เช่นเดียวกันในชีวิตความเชื่อ เราต้องเกี่ยว ข้องคนและเกี่ยวข้องกับพี่น้อง เพื่อพี่น้องคนอื่น ๆ จะได้รับความรอด และได้รับการช่วย กู้จากพระองค์

๒๕๕๑/๐๗/๐๕

ชีวิตของโมเสสและการสร้างคนของพระเจ้า

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง ชีวิตของโมเสสและการสร้างคนของพระเจ้า
เทศนาโดย อ.ชัยยุทร วันสอง
วันที่ 3 กรกฎาคม 05

คำนำ
ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้มาแบ่งปันพระคำของพระเจ้าที่นี่ รู้สึกว่าชื่นชมยินดีอยู่เสมอและขอบคุณ
พระเจ้าสำหรับวันนี้ด้วยที่ได้รับเกียรติจากคริสตจักรพระสัญญาอีกครั้ง ในวันนี้ข้าพเจ้าจะ
แบ่งปันในเรื่องที่ใกล้เคียงกับหัวข้อนำของคริสตจักรพระสัญญาก็คือ สร้างคนและ สร้างงาน

ข้าพเจ้าจะแบ่งปันเรื่องของชายคนหนึ่งที่พระเจ้าได้ปล้ำสู้เพื่อจะสร้างชีวิตของเขา พระเจ้า ก็โกรธเมื่อเขา ไม่ยอมให้พระเจ้าสร้าง เช่นเดียวกับชีวิต คริสเตียนหลาย คนพระเจ้า ม่พอพระทัย เมื่อเขาไม่ยอมให้พระองค์ได้สร้างชีวิตเขา คริสเตียนก็เหมือนขบวนรถ ไฟมีผู้คนมากมาย อยู่ในขบวนรถไฟนั้นต่างคนต่างก้าวไปที่ จุดหมาย พี่น้องที่รัก พี่น้องเคยเห็นนักยกน้ำหนักไหม ? กว่าเขาจะได้เหรียญทอง เขาต้องฝึก ฝนอยากหนัก ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนักตัวเอง การสร้าง กล้ามเนื้อ ฯลฯ เช่นเดียวกันชีวิต

คริสเตียนเราก็จำเป็นต้องถูกสร้าง บุคคลต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ ได้หนุนใจเราทุกคน มีจุดบกพร่อง ของตัวเอง แต่พระเจ้าสร้างไ ด้และพระองค์ทรง ใช้บุคคลเหล่านั้นด้วย แน่นอนถ้าเราหาคนท ี่พร้อมทุกอย่าง งานคงไม่มีทางที่จะสำเร็จ เพราะทุกคนมีจุดบก พร่องของตัวเอง ฉะนั้น เราจะเรียนรู้ชีวิตชายหนุ่มคนหนึ่งที่ พระเจ้าทรงเรียกและก็ทรงเลือก แม้ว่าจะมีจุดบกพร่อง เหมือนคนอื่น ชายหนุ่มคนนั้นนามว่า โมเสส อพยพ 3:11,13-4;4:10,13 ชีวิตของโมเสส อายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสี่สิบปี อยู่ในพระราชวัง อีก สี่สิบปี เลี้ยงแกะอยู่ในประเทศมีเดียม รวมเป็นแปดสิบปีพระเจ้า ได้เรียกโมเสสมารับ ใช้พระองค์ แต่โมเสสก็กลัว เหมือนอย่าง เราหลายคนกลัวกัน


ฉะนั้น วันนี้เราจะเรียนรู้ชีวิตของโมเสสและการสร้างคนของพระเจ้าได้ดังนี้


1.พระเจ้าอยู่ด้วย ครั้งแรกที่พระเจ้าได้ทรงเรียกโมเสส ให้โมเสสไปนำอิสราเอล
ออกจากประเทศอียีปต์ โมเสสก็บอกกับพระองค์ว่า ข้าพเจ้าทำไม่ได้เพราะข้าพเจ้า
ไม่มีอะไร และพระองค์ได้บอกกับโมเสสว่าอะไรอยู่ในมือ โมเสสก็บอกว่าไม้เท้า พระเจ้าก็ให้ โมเสสโยนไม้เท้าลงพื้น ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู และให้โมเสสเอามือล้วงไปใต้แขน แขนของโมเสส ก็กลายเป็นโรคเรื้อน นี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้โมเสสรู้ว่า พระองค์อยู่ด้วยเสมอ และพระองค์เป็นพระเจ้าจะสู้แทนโมเสส


2.เราจะตอบเขาว่าอย่างไร ? นี่เป็นข้ออ้างของโมเสสว่า ถ้าเขาจะถามว่าข้าพเจ้าว่า พระองค์เป็นใคร ข้าพระองค์จะตอบเขาว่าอย่างไร ? พระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า
เราเป็นซึ่งเราเป็น แสดงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าและเป็นทุกสิ่งทรงเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง
ขอเพียงให้เราไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ก็จะนำพาเราถึงจุดหมายได้แน่นอน


3.ข้าพระองค์พูดไม่คล่อง นี่เป็นข้ออ้างอีกข้อหนึ่งของโมเสส ที่จะปฏิเสธในการรับใช้พระเจ้า พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่าใครสร้างปากเจ้า เช่นเดียวกันพระเจ้าได้บอกกับเราทุกคนว่า ใครสร้างปากของเราและ พระองค์เป็นผู้สร้าง ที่สู้แทนเรา กลัวทำไม


4.ให้คนอื่นไปเถิด โมเสสไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรแล้ว โดยการไม่อยากรับใช้พระเจ้า จึงบอก อย่างหน้าด้าน ๆว่า ให้คนอื่นไปเถิด พี่น้องที่รักพระเจ้าเรียกเราให้รับใช้ พระองค์ถึงเวลา แล้วอย่า รออีกเลยขอให้เราเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระองค์ ขอย้ำอีกครั้งว่า พระเจ้าเปิดประตู แห่งพระกรุณาแล้ว“อย่ารออีกเลย”ที่จะให้พระองค์สร้างชีวิตเรา

แบบอย่างการอธิษฐานและการเข้าหาพระเจ้า

สรุปคำเทศนา
ชื่อเรื่อง แบบอย่างการอธิษฐานและการเข้าหาพระเจ้า
เทศนาโดย ศจ.ศุภชัย วงศ์ธนาธิกุล
วันที่ 5 มิถุนายน 2005

คำนำ

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการนมัสการวันนี้ ชื่อว่าพี่น้องคงจะได้รับการเสริมกำลังจากการนมัสการ วันนี้ข้าพเจ้าจะแบ่งปันพระคำของพระเจ้าอยู่ในพระธรรม มัทธิว 6:1-18 กล่าวว่า …เมื่อท่านถืออดอาหารอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้ มอมแมมเพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร จงล้างหน้าและเอาน้ำมัน ใส่ศรีษะเพื่อจะ ไม่ได้รู้ว่าถืออดอาหาร แต่ให้ปรากฏแก่พระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดา ของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน…” พระคำตอนนี้เป็นแบบอย่าง ให้กับเราในเรื่องการอธิษฐานหรือในการเข้าหาพระเจ้า เราต้องหาพระองค์ด้วยความถ่อมใจ ไม่ใช่ด้วยความอวดตัว ฉะนั้นเราจะเรียนรู้ด้วยกันได้ดังต่อไปนี้.

1.ทำทานอย่าเป่าแตร หมายถึง ในการช่วยเหลือคน คริสตชนต้องทำด้วยใจ ไม่ใช่ว่าทำ เพื่อหวัง ให้สังคมยอมรับ,หวังให้สังคมนับถือ หรือ หวังให้คนยกย่อง การทำสิ่งเหล่านี้เป็น สิ่งที่ไม่พอพระทัยพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพระเจ้าไม่มองแค่ภายนอก แต่พระเจ้ามองทะลุ ไปที่จิตใจ พระองค์รู้ว่าผู้ใดทำด้วยใจหรือผู้ใดทำด้วยการโกหก แน่นอนมนุษย์ โกหกมนุษย ์ด้วยกันได้ง่าย แต่มนุษย์โกหกพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตมนุษย์ และพระองค์ เห็นทุกสิ่งในสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำ บำเหน็จจะไม่มีให้แก่คน หลอกลวง แต่จะ มีให้กับผู้ท ี่สัตย์ซื่อเท่านั้น ฉะนั้น เราอย่าทำทานเพื่ออวดมนุษย์แต่เราควรจะทำเพื่ออวดพระเจ้า


2.การอธิษฐาน การอธิษฐานเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียนของเรา อย่างไรก็ตาม การอธิษฐาน ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่เป็นเรื่องที่เราต้องจริงจัง หลายคนอธิษฐานเพื่อ ให้คนอื่นฟังแล้ว ไพเราะ และอวดคนอื่น โดยไม่ได้ออกจากใจจริง ในพระคัมภีร์บอกว่า เขาอธิษฐานอย่างซ้ำซาก คำว่า ”ซ้ำซาก” นี้หมายถึงการอธิษฐานที่ ไม่ออกจากส่วนลึกของ จิตใจจริง ๆ พี่น้องที่รักเราเคยเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า ? ถ้าเราเคยเป็นเช่นนั้น
เราเปลี่ยนได้แล้ว เริ่มต้นใหม่วันนี้ยังไม่สายเกินไป


3.การถือศีลอด (ตัวเอง)การอดอาหารเพื่ออธิษฐานเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตคริสเตียน พระคัมภีร์มีอยู่ครั้งหนึ่ง สาวกถามว่าทำไมขับผีนี้ไม่ออก พระเยซูได้ตรัสว่า ผีนี้เราต้อง อดอาหาร อธิษฐาน ถึงจะขับได้ สดงว่าการอดอาหารอธิษฐานก็เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องเหมือนกัน
ฉะนั้น เราต้องไม่ทำเรื่องสำคัญ ๆ เป็นเรื่องเล่น ๆ เราต้องทำด้วยความ
จริงใจและจริงจัง นี่แหละพระเจ้าจะพอพระทัยอย่างแน่นอน